ReutersReuters

USA:ชี้ค่าเงินดอลล์อาจส่งผลลบต่อมาตรการกีดกันทางการค้าของทรัมป์

ลอนดอน--26 พ.ย.--รอยเตอร์

  • นายไมค์ โดแลน ผู้เขียนคอลัมน์ของรอยเตอร์ระบุว่า ตลาดปริวรรตเงินตราอาจจะเป็นอุปสรรคขัดขวางความพยายามของรัฐบาลใหม่ของสหรัฐในการดำเนินมาตรการปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้า ทั้งนี้ ในช่วง 20-30 ปีที่ผ่านมานั้น นักลงทุนที่ไม่เห็นด้วยกับมาตรการของรัฐบาลใด ๆ ก็ตามมักจะลงโทษรัฐบาลดังกล่าวโดยผ่านทางตลาดพันธบัตร โดยนักลงทุนจะเรียกร้องอัตราดอกเบี้ยที่สูงมากเพื่อแลกกับการเข้าซื้อพันธบัตรของประเทศนั้น เพื่อเป็นการประท้วงแผนงบประมาณที่ย่ำแย่ของรัฐบาลประเทศนั้น และส่งผลให้รัฐบาลดังกล่าวไม่สามารถดำเนินการตามแผนงบประมาณนั้นได้ อย่างไรก็ดี นายโดแลนระบุว่า นักลงทุนในตลาดปริวรรตเงินตราต่างประเทศดูเหมือนจะรับหน้าที่นี้แทนตลาดพันธบัตรในช่วงนี้ หลังจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐเสนอที่จะดำเนินมาตรการกีดกันทางการค้า ซึ่งรวมถึงมาตรการเก็บภาษีนำเข้าถ้วนหน้าในอัตรา 10% และมาตรการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนในอัตรา 60%

  • ดัชนีดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินทะยานขึ้นมาแล้ว 6.27% จากระดับ 100.72 ในช่วงสิ้นเดือนก.ย. สู่ 107.04 ในวันนี้ และดัชนีดอลลาร์ก็เพิ่งพุ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดรอบ 2 ปีที่ 108.09 ในวันศุกร์ที่ 22 พ.ย.ด้วย โดยการแข็งค่าของดอลลาร์จะช่วยลดทอนผลกระทบด้านเงินเฟ้อที่เกิดจากนโยบายเศรษฐกิจของนายทรัมป์ เพราะว่าการแข็งค่าของดอลลาร์จะส่งผลให้สินค้านำเข้ามีราคาถูกลง แต่การแข็งค่าของดอลลาร์จะส่งผลให้สินค้าส่งออกของสหรัฐมีความน่าดึงดูดน้อยลง และปัจจัยนี้อาจจะเป็นอุปสรรคขัดขวางความพยายามของรัฐบาลสหรัฐในการปรับลดยอดขาดดุลการค้า ถึงแม้ว่ารัฐบาลสหรัฐดำเนินมาตรการปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าก็ตาม ทั้งนี้ การแข็งค่าของดอลลาร์ช่วยฟื้นฟูอำนาจในการกำหนดราคาของผู้ส่งออกจากต่างประเทศที่ส่งออกสินค้ามายังสหรัฐ เพราะการแข็งค่าของดอลลาร์ช่วยหนุนยอดขายเมื่ออยู่ในรูปของสกุลเงินต่างประเทศ และเปิดโอกาสให้ผู้ส่งออกสามารถขายสินค้าได้ในราคาต่ำเมื่ออยู่ในรูปของดอลลาร์ และสามารถรักษาส่วนแบ่งตลาดเอาไว้ได้

  • ยูโรดิ่งลงมาแล้วเกือบ 7% ในช่วงเวลาไม่ถึงสองเดือนที่ผ่านมา และปัจจัยนี้ช่วยชดเชยความเสียหายบางส่วนที่อาจเกิดจากมาตรการเก็บภาษีนำเข้าถ้วนหน้าในอัตรา 10% ถึงแม้ว่ายังไม่มีการประกาศใช้มาตรการดังกล่าวก็ตาม ทางด้านหยวนของจีนรูดลงมาแล้ว 4% ในช่วงเวลาเดียวกัน ทั้งนี้ ดอลลาร์พุ่งขึ้นในช่วงที่ผ่านมาโดยได้รับแรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่า มาตรการต่าง ๆ ของนายทรัมป์ ซึ่งรวมถึงมาตรการเก็บภาษีนำเข้า, มาตรการปรับลดอัตราภาษีเงินได้ในสหรัฐ และมาตรการเนรเทศคนงานต่างชาติ จะส่งผลลบต่อความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจในประเทศอื่น ๆ แต่จะส่งผลบวกต่ออุปสงค์ในสหรัฐและต่ออัตราเงินเฟ้อในสหรัฐ โดยมาตรการเหล่านี้จะส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ไม่สามารถปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงได้มากนัก แต่จะส่งผลให้ธนาคารกลางในประเทศอื่น ๆ ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างรุนแรง

  • ปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้จะส่งผลกระทบสำคัญสองประการ โดยประการแรกคือการตอกย้ำมุมมองที่ว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งกว่าประเทศอื่น ๆ ซึ่งจะช่วยดึงดูดเงินลงทุนให้ไหลเข้าสู่สหรัฐ และประการที่สองก็คือการส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยของสหรัฐอยู่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยของประเทศอื่น ๆ มากยิ่งขึ้นไปอีก ทั้งนี้ ธนาคารดอยช์ แบงก์คาดว่า อัตราดอกเบี้ยของเฟดจะไม่ลงไปอยู่ต่ำกว่า 4% ในวัฏจักรการปรับลดอัตราดอกเบี้ยรอบนี้ แต่คาดว่าธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงจนแตะระดับ 1.5% ซึ่งจะส่งผลให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างสหรัฐกับยูโรโซนอยู่ที่ระดับ 2.50% ในที่สุด นอกจากนี้ ดอยช์ แบงก์ยังคาดการณ์อีกด้วยว่า ถ้าหากสหรัฐดำเนินมาตรการปรับขึ้นภาษีนำเข้าและปรับลดภาษีเงินได้อย่างแข็งกร้าว ยูโร/ดอลลาร์ก็อาจจะดิ่งลงกว่า 5% จากระดับปัจจุบัน สู่ระดับต่ำกว่า 1.0000 ดอลลาร์ในอนาคต และจีนก็จะปล่อยให้หยวนอ่อนค่าลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป

  • ถึงแม้ทฤษฎีระบุว่า ยอดขาดดุลการค้าของสหรัฐน่าจะส่งผลลบต่อดอลลาร์ ในขณะที่ค่าดอลลาร์อยู่สูงเกินจริงราว 10%-20% ในปัจจุบัน ยอดขาดดุลการค้าก็ไม่ได่้ส่งผลกระทบมากนักในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เพราะว่ามีเงินลงทุนจากต่างชาติไหลเข้าสู่สินทรัพย์สหรัฐเป็นจำนวนมาก โดยเป็นผลจากความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของสหรัฐ และความแข็งแกร่งของธุรกิจบริษัทขนาดยักษ์ของสหรัฐ นอกจากนี้ นักลงทุนทั่วโลกยังคาดการณ์อีกด้วยว่า ชัยชนะของนายทรัมป์ในการเลือกตั้งจะส่งผลบวกต่อราคาสินทรัพย์สหรัฐมากยิ่งขึ้นไปอีก และปัจจัยนี้จะส่งผลให้ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นด้วย ทั้งนี้ สถานะการลงทุนของต่างชาติสุทธิในสหรัฐ หรือยอดการถือครองสินทรัพย์สหรัฐสุทธิโดยชาวต่างชาติ พุ่งขึ้นมาแล้วกว่า 20 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา โดยพุ่งขึ้นสู่ระดับราว 22.5 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงกลางปีนี้ โดยยอดการลงทุนสุทธิของต่างชาตินี้มีขนาดสูงเกือบถึง 75% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) รายปีของสหรัฐ และอยู่สูงกว่ายอดขาดดุลการค้าที่ระดับ 1 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปีเป็นอย่างมาก--จบ--

Eikon source text

(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)

((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;

เข้าสู่ระบบหรือสร้างบัญชีฟรีถาวรเพื่ออ่านข่าวนี้

ข่าวเพิ่มเติมจาก Reuters

ข่าวเพิ่มเติม