ReutersReuters

ชี้ราคาน้ำมันไม่ได้รับผลกระทบมากนักจากข่าวตอ.กลางเพราะอุปทานน้ำมันสูง

ลอนดอน--23 เม.ย.--รอยเตอร์

  • นักวิเคราะห์ระบุว่า อุปทานน้ำมันดิบบางเกรดอยู่ในระดับสูงในปัจุบัน และปัจจัยนี้ช่วยจำกัดผลกระทบที่ราคาน้ำมันได้รับจากความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลาง ทั้งนี้ มีข่าวว่าอิสราเอลได้โจมตีอิหร่านในวันศุกร์ที่ผ่านมา และข่าวดังกล่าวก็ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบเบรนท์พุ่งขึ้น 3.64 ดอลลาร์ หรือ 4.18% ในระหว่างช่วงการซื้อขายวันศุกร์ โดยเบรนท์พุ่งขึ้นจาก 87.11 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในช่วงท้ายวันพฤหัสบดี สู่ 90.75 ดอลลาร์ในระหว่างช่วงการซื้อขายวันสุกร์ ก่อนจะลดช่วงบวกลงสู่ 87.29 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันศุกร์ และจุดสูงสุดของวันศุกร์ก็ยังคงอยู่ต่ำกว่าจุดสูงสุดของเดือนนี้ที่ 92.18 ดอลลาร์ที่ทำไว้ในวันที่ 12 เม.ย.ด้วย ในขณะที่จุดสูงสุดของเดือนนี้ถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนต.ค. 2023 เป็นต้นมา โดยนักวิเคราะห์ระบุว่า ราคาน้ำมันอาจจะพุ่งสูงไปกว่านี้ได้อีก ถ้าหากอุปทานน้ำมันอยู่ในภาวะตึงตัวมากกว่านี้

  • ความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลางยังไม่ได้ส่งผลกระทบมากนักต่ออุปทานน้ำมันในภูมิภาคตะวันออกกลางในช่วงที่ผ่านมา โดยนายทามัส วาร์กา จากบริษัท PVM กล่าวว่า "ถ้าหากยังไม่เกิดปัญหาทางการผลิตน้ำมันหรืออุปทานน้ำมันอย่างแท้จริง ก็เป็นเรื่องยากที่ราคาน้ำมันจะพุ่งขึ้นทดสอบจุดสูงสุดของปีนี้ที่ทำไว้ในวันที่ 12 เม.ย." นอกจากนี้ ราคาน้ำมันดิบสำคัญบางเกรดก็ส่งสัญญาณอ่อนแอลงด้วย โดยค่าพรีเมียมของราคาน้ำมันดิบโฟร์ตีส์ในทะเลเหนือเมื่อเทียบกับราคาน้ำมันดิบเบรนท์ ได้ร่วงลงสู่ 35 เซนต์ในช่วงนี้ หลังจากที่เคยพุ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดของปี 2024 ที่ 2.30 ดอลลาร์ในเดือนก.พ. ทั้งนี้ ไนจีเรียซึ่งถือเป็นประเทศผู้ส่งออกน้ำมันดิบรายใหญ่ที่สุดในทวีปแอฟริกาประสบปัญหาในการระบายน้ำมันสำหรับการขนส่งในเดือนพ.ค.ในช่วงนี้ด้วย

  • บริษัทไรสตัด เอ็นเนอร์จีประเมินว่า ราคาที่เหมาะสมสำหรับน้ำมันดิบเบรนท์อยู่ที่ราว 83 ดอลลาร์ถ้าหากพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐานในตลาด และสิ่งนี้บ่งชี้ว่า การที่ราคาน้ำมันอยู่สูงกว่าระดับที่เหมาะสมในตอนนี้เป็นผลมาจากความกังวลเรื่องความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศ โดยนายโฮร์เก เลออน นักวิเคราะห์ของไรสตัดระบุว่า "ถึงแม้เกิดเหตุโจมตีอิหร่านครั้งล่าสุด ไรสตัด เอ็นเนอร์จีก็ยังคงคาดการณ์ว่า ค่าพรีเมียมสำหรับความเสี่ยงทางการเมืองจะเข้าสู่เสถียรภาพ และจะค่อย ๆ ปรับลดลงในอนาคต ยกเว้นแต่ว่าความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลางจะทวีความรุนแรงขึ้นเป็นอย่างมาก" ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ของธนาคาร HSBC ระบุว่า อีกปัจจัยที่ช่วยควบคุมราคาน้ำมันในช่วงนี้ ก็คือการที่กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันและชาติพันธมิตร (โอเปกพลัส) มีกำลังการผลิตน้ำมันส่วนเกินอยู่ในระดับสูง และ "ตลาดได้ปรับตัวรับปัจจัยเสี่ยงจากความขัดแย้งทางการเมืองไปมากแล้ว"

  • ราคาน้ำมันในตลาดจริงได้รับแรงกดดันในช่วงที่ผ่านมาจากปัจจัยหลายประการ ซึ่งรวมถึงการปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นน้ำมันที่ผ่านพ้นจุดสูงสุดไปแล้ว, อุปทานน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นจากสหรัฐ และการที่เหตุขัดข้องในประเทศผู้ผลิตน้ำมันบางแห่งได้สิ้นสุดลงแล้ว โดยปริมาณการผลิตน้ำมันในลิเบิยได้ฟื้นตัวขึ้นแล้วในช่วงนี้ หลังจากที่เผชิญเหตุขัดข้องในช่วงต้นปีนี้ ส่วนปริมาณการส่งออกน้ำมันดิบจากสหรัฐสู่ยุโรปในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ก็ปรับขึ้นเมื่อเทียบรายปี นอกจากนี้ อุปทานน้ำมันดิบเวสท์ เท็กซัส อินเทอร์มีเดียท (WTI) มิดแลนด์ของสหรัฐก็อยู่ในระดับสูงด้วย ทั้งนี้ มีสัญญาณบ่งชี้ถึงความเปราะบางของตลาดน้ำมัน โดยค่าพรีเมียมของราคาสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์เดือนใกล้เหนือราคาสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ในอีก 6 เดือนข้างหน้า ได้ดิ่งลงสู่ 3.51 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในวันที่ 18 เม.ย. ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดในรอบราว 1 เดือน โดยการดิ่งลงของค่าพรีเมียมนี้บ่งชี้ว่า ภาวะตึงตัวของอุปทานน้ำมันกำลังผ่อนคลายลง

  • นักวิเคราะห์ระบุว่า ถึงแม้อุปทานน้ำมันดิบที่มีความหนาแน่นต่ำ (light) และกำมะถันต่ำ (sweet) อยู่ในระดับสูง อุปทานน้ำมันดิบที่มีความหนาแน่นสูง (heavy) และกำมะถันสูง (sour) ก็ตึงตัวมากยิ่งขึ้นในช่วงนี้ โดยเป็นผลจากปัจจัยสำคัญ 3 ประการ ซึ่งได้แก่การที่กลุ่มโอเปกพลัสดำเนินมาตรการปรับลดปริมาณการผลิตน้ำมันมาเป็นเวลานานในช่วงที่ผ่านมา, การที่เม็กซิโกตัดสินใจปรับลดปริมาณการส่งออกน้ำมันดิบสำหรับเดือนเม.ย.และพ.ค. และการที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ปรับเพิ่มปริมาณการส่งออกน้ำมันดิบเมอร์แบน ซึ่งเป็นน้ำมันดิบที่มีความหนาแน่นต่ำ และส่งน้ำมันดิบอัพเพอร์ ซาคุมที่มีหนาแน่นสูงเข้าสู่โรงกลั่นน้ำมันแห่งใหม่ในเมืองรูไวส์ของ UAE--จบ--

Eikon source text

(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)

((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;

เข้าสู่ระบบหรือสร้างบัญชีฟรีถาวรเพื่ออ่านข่าวนี้