ReutersReuters

USA:ชี้การพุ่งขึ้นของบอนด์ยิลด์สหรัฐส่งผลลบต่อหุ้นกลุ่ม"ตัวแทนบอนด์"

นิวยอร์ค--9 ต.ค.--รอยเตอร์

  • การพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐในช่วงนี้ส่งผลกระทบเป็นอย่างมากต่อตลาดหุ้นสหรัฐในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา และสร้างความเสียหายต่อหุ้นกลุ่ม "ตัวแทนของบอนด์" (bond proxies) มากเป็นพิเศษ โดยหุ้นกลุ่มตัวแทนบอนด์นี้คือหุ้นของบริษัทที่จ่ายเงินปันผลอย่างแข็งแกร่งและมีเสถียรภาพเหมือนกับพันธบัตร และรวมถึงหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคและหุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น โดยบริษัทเหล่านี้มักจะจ่ายเงินปันผลสูงกว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา และการจ่ายเงินปันผลสูงแบบนี้ทำให้นักลงทุนหลายรายมองว่า บริษัทเหล่านี้ถือเป็นบริษัทที่มีความปลอดภัยทางการลงทุนในช่วงที่ตลาดประสบภาวะปั่นป่วนวุ่นวาย ทั้งนี้ ดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐดิ่งลงมาแล้วราว 4% นับตั้งแต่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) คาดการณ์แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยแบบสายเหยี่ยวในการประชุมกำหนดนโยบายในวันที่ 19-20 ก.ย. และการคาดการณ์ของเฟดก็มีส่วนช่วยหนุนให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีทะยานขึ้นแตะ 4.887% ในวันศุกร์ ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2007 หรือจุดสูงสุดรอบ 16 ปี โดยการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ยิลด์) มักจะสร้างความเสียหายต่อหุ้นเติบโต แต่ก็สร้างความเสียหายต่อหุ้นกลุ่มตัวแทนบอนด์ในช่วงนี้ด้วยเช่นกัน

  • การพุ่งขึ้นของบอนด์ยิลด์ส่งผลลบต่อหุ้นกลุ่มตัวแทนบอนด์ เพราะว่านักลงทุนจะได้รับอัตราผลตอบแทนที่ระดับสูงจากการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่ปลอดความเสี่ยง แทนที่จะต้องลงทุนในหุ้น โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 6 เดือนอยู่ที่ระดับราว 5.6% ในปัจจุบัน ในขณะที่การลงทุนในหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคให้อัตราผลตอบแทน 4% และการลงทุนในหุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นให้อัตราผลตอบแทน 3% ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มตัวแทนบอนด์ได้รับแรงกดดันอย่างรุนแรงในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา โดยดัชนีหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคของสหรัฐดิ่งลงมาแล้ว 13% นับตั้งแต่การประชุมเฟดในวันที่ 19-20 ก.ย. ส่วนดัชนีหุ้นกลุ่มสินค้าจำเป็นรูดลงมาแล้วราว 8% ในช่วงเวลาเดียวกัน นอกจากนี้ บริษัทอื่น ๆ ที่จ่ายเงินปันผลดีก็มีราคาหุ้นดิ่งลงในช่วงที่ผ่านมาด้วย โดยดัชนีหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์รูดลง 8% นับตั้งแต่การประชุมเฟดครั้งล่าสุด ในขณะที่หุ้นบริษัทเอทีแอนด์ทีในกลุ่มโทรคมนาคมดิ่งลง 7% และหุ้นบริษัทเวริซอนในกลุ่มเดียวกันรูดลง 8%

  • หุ้นกลุ่มตัวแทนบอนด์ได้รับแรงกดดัน หลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานในวันศุกร์ว่า การจ้างงานนอกภาคเกษตรในสหรัฐพุ่งขึ้น 336,000 ตำแหน่งในเดือนก.ย. ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ในโพลล์รอยเตอร์ที่ 170,000 ตำแหน่งเป็นอย่างมาก ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐพุ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดรอบ 16 ปีในวันศุกร์ ทั้งนี้ นักลงทุนรอดูดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ที่รัฐบาลสหรัฐจะรายงานออกมาในวันพฤหัสบดีที่ 12 ต.ค. เพื่อประเมินว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปหรือไม่

  • หุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคได้รับแรงกดดันจากปัจจัยอื่น ๆ ในช่วงนี้ด้วย โดยบริษัทเน็กซ์อีรา เอ็นเนอร์จี ซึ่งเป็นบริษัทที่มีมูลค่าในตลาดมากที่สุดในกลุ่มสาธารณูปโภคของสหรัฐมีราคาหุ้นดิ่งลง 27% นับตั้งแต่สิ้นเดือนก.ย. หลังจากบริษัทเน็กซ์อีรา เอ็นเนอร์จี พาร์ทเนอร์สที่อยู่ในเครือเดียวกันปรับลดคาดการณ์การเติบโต ทั้งนี้ นักวิเคราะห์คาดว่าผลกำไรของบริษัทในกลุ่มสาธารณูปโภคอาจจะปรับขึ้นในไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ของปีนี้ในอัตราที่สูงกว่าผลกำไรของบริษัทสหรัฐโดยรวมในดัชนี S&P 500 แต่นักวิเคราะห์คาดว่าผลกำไรของกลุ่มสาธารณูปโภคอาจเพิ่มขึ้นเพียง 8.6% ในปี 2024 ในขณะที่ผลกำไรของบริษัทในดัชนี S&P 500 อาจจะพุ่งขึ้น 12% ในปีหน้า

  • ความอ่อนแอของหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคอาจจะเปิดโอกาสสำหรับการเข้าช้อนซื้อในสายตาของนักลงทุนบางราย โดยบริษัทแวนดาแทรครายงานว่า นักลงทุนรายย่อยนำเงิน 32 ล้านดอลลาร์เข้ามาลงทุนในหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคในสัปดาห์ล่าสุด ซึ่งถือเป็นระดับที่สูงมาก--จบ--

Eikon source text

(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)

((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;

เข้าสู่ระบบหรือสร้างบัญชีฟรีถาวรเพื่ออ่านข่าวนี้