ReutersReuters

USA:ชี้นักลงทุนหุ้นสหรัฐรอดูผลประกอบการบริษัทขนาดยักษ์ 7 แห่ง

นิวยอร์ค--17 ก.ค.--รอยเตอร์

  • นักวิเคราะห์ตลาดหุ้นสหรัฐระบุว่า นักลงทุนกำลังรอดูผลประกอบการไตรมาสสองของบริษัทในกลุ่ม “Magnificent Seven” ของสหรัฐที่จะได้รับการเปิดเผยออกมาในช่วงไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้ โดยบริษัทกลุ่มนี้คือบริษัทขนาดยักษ์ 7 แห่งที่มีมูลค่าในตลาดสูงสุด และถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยหนุนให้ตลาดหุ้นสหรัฐพุ่งขึ้นในปี 2023 ดังนั้นผลประกอบการของบริษัทกลุ่มนี้จึงมีแนวโน้มที่จะเป็นตัวกำหนดแนวทางการพุ่งขึ้นของตลาดหุ้นสหรัฐในปีนี้ด้วย ทั้งนี้ บริษัทกลุ่มนี้รวมถึงอะเมซอนดอทคอม, แอปเปิล, แอลฟาเบท, เมตา แพลตฟอร์มส์, ไมโครซอฟท์, เอ็นวิเดีย และเทสลา โดยเทสลา ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจะเปิดเผยผลประกอบการในวันพุธนี้ ซึ่งจะส่งผลให้เทสลาเป็นบริษัทแรกในกลุ่ม Magnificent Seven ที่จะรายงานผลประกอบการไตรมาส 2 ออกมา ส่วนไมโครซอฟท์กับเมตาจะรายงานผลประกอบการในสัปดาห์หน้า ในขณะที่นักลงทุนจะจับตาดูว่า บริษัทกลุ่มนี้วางแผนการอย่างไรในการทำธุรกิจเกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์ (AI)

  • ในบรรดาหุ้นกลุ่ม “Magnificent Seven” นั้น หุ้นเอ็นวิเดียพุ่งขึ้นมาแล้ว 225.8% จากช่วงต้นปีนี้, หุ้นเมตาทะยานขึ้นมาแล้ว 159.9%, หุ้นเทสลาพุ่งขึ้น 126.6%, หุ้นอะเมซอนทะยานขึ้น 61.8%, หุ้นแอปเปิลพุ่งขึ้น 46.9%, หุ้นไมโครซอฟท์ทะยานขึ้น 45.8% และหุ้นแอลฟาเบทพุ่งขึ้น 42.9% จากช่วงต้นปีนี้ และการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มนี้ก็มีส่วนสำคัญอย่างมากในการช่วยหนุนดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐให้ทะยานขึ้น 17.6% จากช่วงต้นปีนี้ รวมทั้งช่วยหนุนดัชนี S&P 500 ให้พุ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. 2022 ในช่วงนี้ด้วย ทั้งนี้ การพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่ม Magnificent Seven ส่งผลให้มีการคาดการณ์ผลกำไรสูงในบริษัทกลุ่มนี้ด้วย โดยแบงก์ ออฟ อเมริกา โกลบัล รีเสิร์ชคาดการณ์ว่า บริษัทกลุ่มนี้จะมีผลกำไรพุ่งขึ้นเฉลี่ย 19% ในช่วง 12 เดือนข้างหน้า แต่บริษัทอื่น ๆ ในดัชนี S&P 500 จะมีผลกำไรปรับขึ้นเพียง 8% ในช่วงเวลาเดียวกัน

  • บริษัทกลุ่ม “Magnificent Seven” มีค่าพีอีเรโชอยู่ที่ระดับราว 40 เท่าของผลกำไรในปัจจุบัน ในขณะที่บริษัทอื่น ๆ ในดัชนี S&P 500 มีค่าพีอีเรโชอยู่ที่ 15 เท่าเท่านั้น ดังนั้นบริษัทกลุ่มนี้จึงมีความจำเป็นที่จะต้องมีผลกำไรที่สูงมากเพื่อให้สอดคล้องกับมูลค่าหุ้นของตนเอง นอกจากนี้ บริษัท 7 แห่งนี้ก็ครองน้ำหนักในดัชนี S&P 500 ราว 27.9% ด้วย ดังนั้นผลประกอบการของบริษัท 7 แห่งนี้จึงอาจจะมีความสำคัญต่อตลาดหุ้นสหรัฐโดยรวมเป็นอย่างมาก

  • นายทาจินเดอร์ ดิลลอน นักวิเคราะห์วิจัยของ Refinitiv ระบุว่า บริษัทขนาดยักษ์ 7 แห่งนี้ครองสัดส่วน 14.3% ของคาดการณ์ผลกำไรทั้งหมดของบริษัทในดัชนี S&P 500 ในไตรมาสสอง และครองสัดส่วน 9.3% ของคาดการณ์รายได้ทั้งหมดของบริษัทในดัชนี S&P 500 ในไตรมาสสอง ทั้งนี้ มีสัญญาณบ่งชี้ว่า การพุ่งขึ้นของตลาดหุ้นสหรัฐได้กระจายออกจากหุ้นบริษัทขนาดยักษ์ไปยังหุ้นในวงกว้างในช่วงนี้ โดยดัชนี S&P 500 แบบที่ให้หุ้นทุกตัวในดัชนีมีน้ำหนักเท่ากัน พุ่งขึ้นมาแล้ว 3.6% ในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ในขณะที่ดัชนี S&P 500 ปรับขึ้นราว 3% ในช่วงเวลาเดียวกัน

  • ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่แข็งแกร่งที่ออกมาในช่วงนี้ช่วยกระตุ้นการคาดการณ์ที่ว่า เศรษฐกิจสหรัฐอาจจะสามารถหลีกเลี่ยงจากภาวะถดถอยได้สำเร็จ และอาจจะชะลอตัวลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งถ้าหากเศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัวลงแบบนั้นจริงตามความคาดหมาย ภาวะดังกล่าวก็อาจจะส่งผลดีต่อหุ้นกลุ่มวัฏจักรเศรษฐกิจ ซึ่งรวมถึงหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมและหุ้นบริษัทขนาดเล็กที่มีมูลค่าต่ำในปัจจุบัน--จบ--

Eikon source text

(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)

((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;

เข้าสู่ระบบหรือสร้างบัญชีฟรีถาวรเพื่ออ่านข่าวนี้