ReutersReuters

EUROPE:ชี้นักลงทุนแห่เข้าซื้อยูโร,หุ้นยุโรป,บอนด์ยุโรปในช่วงนี้

มิลาน/ลอนดอน--25 ม.ค.--รอยเตอร์

  • นักลงทุนได้แห่เข้ามาลงทุนในสกุลเงิน, หุ้น และตราสารหนี้ในยุโรปในช่วงนี้ โดยได้รับแรงกระตุ้นจากภาวะอากาศที่อบอุ่นผิดปกติในฤดูหนาวในยุโรป และจากการที่ยุโรปสามารถกักเก็บสต็อกก๊าซธรรมชาติไว้ในคลังได้เป็นจำนวนมาก โดยปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้นักลงทุนปรับลดความกังวลเรื่องภาวะขาดแคลนไฟฟ้าและการพุ่งขึ้นของราคาพลังงานในยุโรป นอกจากนี้ ตลาดการเงินยุโรปยังได้รับแรงหนุนจากการที่จีนเปิดเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วมากด้วย ในขณะที่เศรษฐกิจของยุโรปพึ่งพาการส่งออก ทั้งนี้ ธนาคารเจพีมอร์แกนได้ปรับตัวเลขคาดการณ์อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของยูโรโซนขึ้นสู่ +1% สำหรับช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ จากเดิมที่เคยคาดไว้ที่ -0.5% หลังจากธนาคารโกลด์แมน แซคส์ปรับขึ้นตัวเลขคาดการณ์แบบเดียวกันในช่วงต้นเดือนนี้ ทางด้านแบงก์ ออฟ อเมริกา โกลบัล รีเสิร์ชรายงานในวันศุกร์ที่ผ่านมาว่า กองทุนหุ้นยุโรปมีเงินลงทุนไหลเข้าสุทธิ 0.2 พันล้านดอลลาร์ในช่วงสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 18 ม.ค. ซึ่งถือเป็นยอดเงินไหลเข้าสุทธิครั้งแรกในรอบ 49 สัปดาห์ หรือครั้งแรกในรอบเกือบ 1 ปี

  • ปัจจัยเหล่านี้มีส่วนช่วยหนุนให้ยูโร/ดอลลาร์พุ่งขึ้นมาแล้วเกือบ 10% ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นหนึ่งในการพุ่งขึ้นครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 2011 นอกจากนี้ ยูโร/ดอลลาร์สหรัฐก็ทะยานขึ้นมาแล้ว 15% นับตั้งแต่แตะจุดต่ำสุดรอบ 20 ปีที่ 0.9528 ดอลลาร์สหรัฐในเดือนก.ย. 2022 ด้วย โดยยูโรเพิ่งพุ่งขึ้นแตะ 1.0927 ดอลลาร์ในวันจันทร์ ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. 2022 หรือจุดสูงสุดรอบ 9 เดือน และนักวิเคราะห์บางรายคาดว่า ยูโรมีโอกาสพุ่งขึ้นได้อีกมากในช่วงต่อไป ทั้งนี้ นายจอร์แดน โรเชสเตอร์ นักยุทธศาสตร์การลงทุนสกุลเงินของธนาคารโนมูระกล่าวว่า "เศรษฐกิจยุโรปกำลังฟื้นตัวขึ้นครั้งใหญ่" และโนมูระคาดว่ายูโรจะปรับขึ้นแตะ 1.10 ดอลลาร์ก่อนสิ้นเดือนม.ค. และ 1.16 ดอลลาร์ก่อนสิ้นปีนี้

  • ตลาดหุ้นยุโรปพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งกว่าตลาดหุ้นสหรัฐเป็นอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา โดยดัชนี STOXX ของตลาดหุ้นยูโรโซนพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งกว่าดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐกว่า 18% นับตั้งแต่เดือนก.ย. 2022 ในขณะที่ดัชนี STOXX พุ่งขึ้นมาแล้ว 17.1% นับตั้งแต่เดือนก.ย. แต่ดัชนี S&P 500 ร่วงลง 0.96% นับตั้งแต่เดือนก.ย. โดยธนาคารมอร์แกน สแตนเลย์ระบุว่า การที่ตลาดหุ้นยูโรโซนพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งกว่าตลาดหุ้นสหรัฐกว่า 18% ในครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่ใหญ่ที่สุดในรอบ 20 ปี ทั้งนี้ ราคาสัญญาล่วงหน้าก๊าซธรรมชาติในเนเธอร์แลนด์ ซึ่งถือเป็นราคาก๊าซอ้างอิงสำหรับยุโรป ดิ่งลงมาแล้ว 80% จากจุดสูงสุดของเดือนส.ค. และร่วงลงมาอยู่ในระดับเดียวกับในช่วงก่อนเกิดสงครามยูเครน และปัจจัยดังกล่าวก็ส่งผลให้นักลงทุนคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจยุโรปในทางที่ดีขึ้นจากเดิมเป็นอย่างมาก

  • ในส่วนของมูลค่าหุ้นนั้น หุ้นกลุ่มบลูชิพของยุโรปมีค่าพีอีเรโชอยู่ที่ราว 13 เท่าของผลกำไร ซึ่งต่ำกว่าค่าพีอีเรโชของหุ้นในดัชนี S&P 500 ซึ่งอยู่ที่ระดับราว 20 เท่าของผลกำไร และส่วนต่างที่ระดับ 7 จุดนี้ถือว่าอยู่สูงกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีที่ 1.5 จุดเป็นอย่างมาก และสิ่งนี้บ่งชี้ว่าหุ้นยุโรปยังคงมีราคาถูกเมื่อเทียบกับหุ้นสหรัฐ ทั้งนี้ นักลงทุนโยกย้ายเงินลงทุนกลับเข้ามาลงทุนในหุ้นยุโรป และปรับลดการลงทุนในหุ้นสหรัฐ ในขณะที่การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในสหรัฐสร้างความเสียหายต่อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในสหรัฐที่มีราคาแพง โดยนายโรเบอร์โต ลอตติซี ผู้จัดการพอร์ตลงทุนของธนาคารแบงกา อิไฟเจสท์ระบุว่า เขาเพิ่งขายหุ้นบริษัทอะเมซอนของสหรัฐออกมา เพื่อนำเงินไปซื้อหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคของยุโรป และหุ้นกลุ่มธนาคารของยุโรป ซึ่งรวมถึงหุ้นธนาคารอินเตซาของอิตาลี, BNP ของฝรั่งเศส และซานตานเดร์ของสเปน แต่เขากล่าวเสริมว่า ยุโรปยังคงได้รับแรงกดดันจากสงครามยูเครน

  • การที่เศรษฐกิจยุโรปปรับตัวดีขึ้นส่งผลให้นักลงทุนเข้าซื้อตราสารหนี้ยุโรปด้วย โดยนายริชาร์ด แมคไกวร์ หัวหน้าฝ่ายแผนยุทธศาสตร์การลงทุนอัตราดอกเบี้ยของธนาคารราโบแบงก์กล่าวว่า การดิ่งลงของราคาก๊าซธรรมชาติส่งผลกระทบทั้งในทางบวกและทางลบต่อราคาพันธบัตรรัฐบาล แต่ถือว่าส่งผลบวกโดยรวมต่อราคาพันธบัตร และเขากล่าวเสริมว่า การดิ่งลงของราคาก๊าซธรรมชาติส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อลดลง และส่งผลให้รัฐบาลมีความจำเป็นน้อยลงในการออกจำหน่ายพันธบัตรเพื่อระดมทุนมาใช้ในมาตรการอุดหนุนค่าพลังงาน และปัจจัยเหล่านี้ถือว่าส่งผลบวกต่อราคาพันธบัตร อย่างไรก็ดี การดิ่งลงของราคาก๊าซธรรมชาติจะช่วยกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งอาจจะส่งผลลบต่อความต้องการซื้อพันธบัตรในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ทั้งนี้ พันธบัตรรัฐบาลของประเทศที่มีเศรษฐกิจอ่อนแอในยูโรโซนได้รับแรงหนุนมากเป็นพิเศษ โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอิตาลีประเภทอายุ 10 ปีดิ่งลงมาแล้ว 0.87% จากช่วงต้นปีนี้ ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลเยอรมนีประเภทอายุ 10 ปีปรับลงเพียง 0.49% และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐปรับลงเพียง 0.44% ในช่วงเวลาเดียวกัน โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ยิลด์) เป็นสิ่งที่ปรับตัวสวนทางกับราคาพันธบัตร--จบ--

(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)

((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;

เข้าสู่ระบบหรือสร้างบัญชีฟรีถาวรเพื่ออ่านข่าวนี้