ReutersReuters

DJIA:ตลาดหุ้นนิวยอร์ค:หุ้นสหรัฐพุ่งขึ้นตามหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี

นิวยอร์ค--24 ม.ค.--รอยเตอร์

  • ตลาดหุ้นสหรัฐปิดพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในวันจันทร์ โดยได้รับแรงหนุนจากการทะยานขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ในขณะที่นักลงทุนรอดูผลประกอบการของบริษัทหลายแห่งที่จะได้รับการประกาศออกมาในสัปดาห์นี้ และนักลงทุนต้องการลงทุนในหุ้นกลุ่มโมเมนตัมที่เคยดิ่งลงอย่างรุนแรงในปีที่แล้ว ทั้งนี้ ดัชนี Nasdaq พุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในวันจันทร์ โดยได้รับแรงหนุนจากการทะยานขึ้นของหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ ในขณะที่ดัชนีฟิลาเดลเฟียสำหรับหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์พุ่งขึ้น 5.0% ในวันจันทร์ ซึ่งถือเป็นการพุ่งขึ้นครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 30 พ.ย. หลังจากธนาคารบาร์เคลย์สปรับขึ้นอันดับความน่าลงทุนของหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์สู่ "overweight" จาก "equal weight" โดยนักลงทุนบางรายให้ความเห็นว่า หุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์เคยดิ่งลงอย่างรุนแรงในช่วงก่อนหน้านี้ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องที่น่าประหลาดใจที่หุ้นกลุ่มนี้จะดีดกลับขึ้นมา

  • ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวกขึ้น 0.76% สู่ 33,629.56, ดัชนี S&P 500 ปิดพุ่งขึ้น 1.19% สู่ 4,019.81 และดัชนี Nasdaq ปิดทะยานขึ้น 2.01% สู่ 11,364.41 ทั้งนี้ ในบรรดาหุ้น 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐนั้น มีเพียงแค่หุ้นกลุ่มพลังงานเท่านั้นที่ไม่ได้ปิดตลาดในแดนบวกในวันจันทร์ ส่วนดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีพุ่งขึ้น 2.3% และถือเป็นกลุ่มที่พุ่งขึ้นมากที่สุดในวันจันทร์

  • นักลงทุนรอดูผลประกอบการไตรมาส 4 ที่บริษัทหลายแห่งจะประกาศออกมาในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงบริษัทไมโครซอฟท์ ซึ่งถือเป็นบริษัทที่มีมูลค่าในตลาดมากเป็นอันดับสองของสหรัฐที่จะเปิดเผยผลประกอบการออกมาในวันอังคาร, เทสลาที่จะเปิดเผยผลประกอบการออกมาในวันพุธ, IBM ซึ่งจะเปิดเผยผลประกอบการในวันพุธ, อินเทลซึ่งจะเปิดเผยผลประกอบการในวันพฤหัสบดี นอกจากนี้ บริษัทโบอิ้ง, 3M, ยูเนียน แปซิฟิก คอร์ป, ดาว อิงค์ และนอร์ธรอป กรัมแมน คอร์ปก็จะเปิดเผยผลประกอบการรายไตรมาสในสัปดาห์นี้ด้วย โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์ในตอนนี้ว่า ผลกำไรของบริษัทในดัชนี S&P 500 อาจดิ่งลง 3% ในไตรมาส 4/2022 เมื่อเทียบรายปี หลังจากที่เคยคาดการณ์ในช่วงต้นปีนี้ว่า ผลกำไรอาจปรับลดลงเพียง 1.6% ในไตรมาส 4/2022 ทั้งนี้ นักลงทุนรอดูตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่จะได้รับการประกาศออกมาในสัปดาห์นี้ด้วย โดยเฉพาะตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของสหรัฐที่กระทรวงพาณิชย์จะประกาศออกมาในวันพฤหัสบดี โดยนักวิเคราะห์คาดว่า จีดีพีสหรัฐอาจเติบโต 2.5% ในไตรมาส 4 นอกจากนี้ นักลงทุนก็รอดูรายงานค่าใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ที่จะออกมาในวันศุกร์ด้วย เพราะรายงานดังกล่าวจะบ่งชี้ถึงภาวะเงินเฟ้อ, ปริมาณการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภค และการเติบโตของรายได้ในสหรัฐ

  • นักลงทุนในตลาดสัญญาล่วงหน้าคาดว่า มีโอกาส 95.8% ที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ 4.50-4.75% ในการประชุมวันที่ 31 ม.ค.-1 ก.พ. และมีโอกาสเพียง 4.2% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% สู่ 4.75-5.00% ในการประชุมวันที่ 31 ม.ค.-1 ก.พ. โดยนักลงทุนคาดการณ์กันอีกด้วยว่า อัตราดอกเบี้ยของสหรัฐจะขึ้นไปแตะจุดสูงสุดของวัฏจักรที่ระดับ 4.75-5.00% ภายในเดือนมิ.ย. และเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงราว 0.50% ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ทั้งนี้ นายปีเตอร์ ทุซ ประธานบริษัทเชส อินเวสท์เมนท์ เคาน์เซลกล่าวว่า "นักลงทุนพึงพอใจที่เฟดจะชะลอความเร็วในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย" และเขากล่าวเสริมว่า "ตลาดหุ้นจะปรับตัวได้ดีในภาวะแวดล้อมแบบนี้ โดยเฉพาะหุ้นเติบโตที่มีขนาดใหญ่"

  • บริษัท 57 แห่งในดัชนี S&P 500 เปิดเผยผลประกอบการออกมาแล้ว และบริษัท 63% ในกลุ่มนี้เปิดเผยผลกำไรที่ดีเกินคาด ทั้งนี้ หุ้นเทสลาพุ่งขึ้น 7.7 % ในวันจันทร์ หลังจากนายอีลอน มัสก์ ซีอีโอของเทสลาขึ้นให้การในศาลในคดีฉ้อโกง ส่วนหุ้นเซลส์ฟอร์ซ ซึ่งเป็นบริษัทซอฟท์แวร์ทะยานขึ้น 3.1 % หลังจากมีข่าวว่าบริษัทเอลเลียต แมเนจเมนท์ คอร์ป ซึ่งเป็นบริษัทนักลงทุนนักเคลื่อนไหวได้เข้าถือหุ้นเซลส์ฟอร์ซเป็นมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์--จบ--

(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)

((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;

เข้าสู่ระบบหรือสร้างบัญชีฟรีถาวรเพื่ออ่านข่าวนี้