'WHA' ย้ำไทยต้องบาลานซ์การลงทุนรับนโยบายกำแพงภาษี 'ทรัมป์ 2.0'

"WHA" ชี้ไทยได้เปรียบนโยบาย "ทรัมป์ 2.0" ระบุ อุตสาหกรรมไทยยุคทองแห่งการลงทุน ย้ำต้องบาลานซ์การลงทุนทั้ง "จีน-สหรัฐ" หวังรัฐเอื้อนโยบายการลงทุน

นายปจงวิช พงษ์ศิวาภัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ WHA กล่าวในเวทีเสวนาโต๊ะกลม หัวข้อ Geopolitics 2025 | TRUMP 2.0 : The Global Shake Up จัดโดย "กรุงเทพธุรกิจ" ว่า นโยบายการขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนถึง 60-100% และประเทศอื่นๆ 10-20% ถือเป็นเรื่องใหญ่

อย่างไรก็ตาม หากย้อนกลับไปในอุตสาหกรรม เรามียุคเฟื่องฟูที่ญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนถือเป็นการเปลี่ยนแปลงของประเทศไทยที่มีนัยสำคัญ ต่อมายุค 2 คือโชติช่วงชัชวาล ได้มีบริษัทใหม่เกิดขึ้นรวมถึงต่างชาติ เป็นภาคอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนแปลงอีกครั้งในไทย 

อย่างไรก็ตาม นโยบายสหรัฐตลอด 3 ปี แม้จะกระทบการลงทุนจีน แต่การขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมแตะ 2 พันไร่ หากนับรวมกว่า 4-5 พันไร่ต่อปี เป็นบริษัทจีนกว่า 70-80% ตั้งแต่ระดับท็อปทั้งกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ซัพพลายรถยนต์ รวมถึงคลัสเตอร์ใหญ่ อาทิ แอร์คอนดิชั่น ตู้เย็น เครื่องซักผ้า โดยส่วนมากจะซื้อที่ดินขนาดใหญ่ ประกาศใช้ไทยเป็นฐานการผลิตใหญ่สุดอันดับ 2 ต่อจากจีน

ดังนั้น ในช่วงหลังจากเลือกตั้งสหรัฐ การไหลเข้ามาในไทยของนักลงทุนจีนได้เพิ่มขึ้นมาก และมั่นใจว่าปีนี้จะมาอีกเยอะ ซึ่งมองว่ามีความกังวลว่ามาไทยแล้วสหรัฐจะตามมาเก็บภาษีเพิ่ม แต่ส่วนตัวมองว่าการมีฐานการผลิตขนาดใหญ่ในไทยที่เปลี่ยนยุคอุตสาหกรรมเข้ามาพร้อมเทคโนโลยีไม่ใช้มาผลิตอุปกรณ์เล็กๆ น้อยๆ และใช้บุคลากรคนไทยจำนวนมาก

ทั้งนี้ จึงต้องส่งเสริมการเปิดตลาดที่ทำให้สินค้าที่ออกจากไทยไปให้ถึงได้ด้วย รวมถึงตลาดสหรัฐ แม้จะประกาศภาวะฉุกเฉินกรณีการปรับขึ้นภาษี 10-20% จะยังได้เปรียบ จึงต้องดึงการลงทุนเข้ามาก่อนโดยหาวิธีสนับสนุนช่องทางการค้า การฑูต เพิ่มนโยบายในไทยให้ดีขึ้น

ดังนั้น สิ่งสำคัญคือการบาลานซ์การลงทุน ปัจจุบันการลงทุนของสหรัฐในไทยถือว่าสูงเป็นอันดับ 2 เช่นกัน โดยเฉพาะบริษัทบิ๊กดาต้า ดังนั้น การดึงธุรกิจสหรัฐมาลงทุนในไทย ภาครัฐจะต้องช่วยผลักดันด้วย