หุ้นไทยวันนี้ (22 ม.ค.) ปิดตลาดบวก 9.24 จุด เอิร์นนิ่งกลุ่มแบงก์สดใส
"ตลาดหุ้นไทย" วันนี้ (22 ม.ค.) ปิดตลาดเย็นอยู่ที่ 1,361.77 จุด บวก 9.24 จุด หรือ 0.68% โบรกชี้ หุ้นไทยบวกได้ตลอดทั้งวันเพราะท่าทีของทรัมป์มีความประนีประนอมและกำไรไตรมาส 4 แบงก์สดใส คาดพรุ่งนี้แกว่ง 1,370 - 1,393 จุด
"หุ้นไทยวันนี้" (22 ม.ค.) ความเคลื่อนไหว ดัชนีหุ้นไทย ปิดตลาดเย็นอยู่ที่ 1,361.77 จุด บวก 9.24 จุด หรือ 0.68% จุด โดย ตลาดหุ้นไทย ผันผวนในทิศทางปรับตัวขึ้นเกือบทั้งวันซึ่งทำจุดต่ำสุดวันนี้อยู่ที่ 1,355.22 จุด และสูงสุดอยู่ที่ 1,363.92 จุด มูลค่าซื้อขาย 43,995.69 ล้านบาท
ภาวะหุ้นไทยวันนี้ (22 ม.ค.)
หุ้นไทยวันนี้ ที่มีมูลค่าซื้อขายสูงสุด 5 ลำดับแรก ได้แก่
1. BBL : มูลค่า 3,458.24 ล้านบาท ราคา 156.50 บาท เพิ่มขึ้น 5.00 บาท (+3.30%)
2. KTB : มูลค่า 2,803.59 ล้านบาท ราคา 23.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.20 บาท (+5.50%)
3. KBANK : มูลค่า 2,463.59 ล้านบาท ราคา 159.50 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท (+0.63%)
4. DELTA : มูลค่า 2,220.03 ล้านบาท ราคา 147.00 บาท เพิ่มขึ้น 4.50 บาท (+3.16%)
5. CPALL : มูลค่า 1,799.04 ล้านบาท ราคา 55.75 บาท ลดลง 1.00 บาท (-1.76%)
นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ (22 ม.ค.) ปรับตัวขึ้นจากปัจจัยบวกทั้งในและต่างประเทศ โดยปัจจัยต่างประเทศ นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับนโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์ ที่มีท่าทีประนีประนอมมากขึ้น โดยเฉพาะประเด็นการเก็บภาษีและแนวโน้มการเจรจากับจีน ขณะที่ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในต่างประเทศส่วนใหญ่ออกมาดี
สำหรับปัจจัยในประเทศ ผลประกอบการของกลุ่มธนาคารพาณิชย์โดยรวมออกมาตามคาดหรือดีกว่าคาดการณ์เล็กน้อย เช่น SCB ซึ่งถือเป็นสัญญาณบวกต่อการเปิดเทศกาลประกาศผลประกอบการไตรมาส 4 โดยคาดว่ากลุ่มที่อิงเศรษฐกิจในประเทศหลายกลุ่มจะมีผลประกอบการที่ดี ทั้งกลุ่มค้าปลีก ท่องเที่ยว สื่อสาร
นอกจากนี้ ยังพบว่ามีแรงเก็งกำไรในหุ้นที่ราคาปรับตัวลงมามากในช่วงก่อนหน้า แม้จะไม่ใช่กลุ่มที่มีผลประกอบการโดดเด่น ซึ่งสะท้อนถึงจิตวิทยาการลงทุนที่ดีขึ้น เพราะในช่วงที่ตลาดมีความกังวลสูง นักลงทุนจะไม่กล้าซื้อหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานไม่แข็งแกร่ง
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นวันพรุ่งนี้ (23 ม.ค.) มีโอกาสฟื้นตัว โดยมีแนวแกว่งในกรอบ 1,370 และ 1,393 จุด ตามลำดับ
ด้านคำแนะนำการลงทุน แนะนำให้เน้นลงทุนในกลุ่มที่มีผลประกอบการดีแต่ราคายังไม่ได้ตอบรับมากนัก ได้แก่:
- กลุ่มท่องเที่ยว เช่น ERW AOT
- กลุ่มค้าปลีก เช่น CPAX, CPALL
- หุ้นที่มีผลตอบแทนเงินปันผลสูง เช่น กลุ่มการเงินและกลุ่มโรงไฟฟ้าที่ได้รับอานิสงส์จากความกังวลที่ลดลง อย่าง MTC, EGCO, RATCH และ TIDLOR
- กลุ่มอาหาร เช่น CBG, OSP และ BTG ที่มีแนวโน้มผลประกอบการที่ดีและอาจมีการปรับประมาณการกำไรและราคาเหมาะสมในปี 2568
ส่วนกลุ่มธนาคาร แม้ผลประกอบการจะดี แต่เนื่องจากราคาปรับตัวขึ้นมามากแล้ว จึงอาจไม่ใช่จังหวะที่เหมาะสมในการเข้าซื้อเพิ่ม นอกจากนี้ นักลงทุนสามารถพิจารณาเก็งกำไรในหุ้นที่ราคาปรับตัวลงมามากได้