การเทรดที่ดี ต้องมีกลยุทธ์ การจะเป็น Trader ที่ประสบความสำเร็จได้ จำเป็นจะต้องมีกลยุทธ์การเทรด จัดการซื้อขายให้เป็นระบบ เพื่อการทำกำไรได้อย่างสม่ำเสมอ สิ่งที่เราต้องชัดเจนคือ กลยุทธ์ของเราคืออะไร สินทรัพย์ที่ต้องการเทรด กรอบระยะเวลา และระดับความเสี่ยงที่ตัวเองสามารถยอมรับได้ สิ่งที่นักลงทุนควรมี ได้แก่
1 ความสม่ำเสมอ: การมี Action Plan ของตัวเอง ที่ทำหน้าที่เป็นเครื่องมือในการรักษากลยุทธ์เทรด ในขณะเดียวกัน ก็ลดอารมณ์ในการตัดสินใจของคุณให้เหลือน้อยที่สุด ความสม่ำเสมอ ดังกล่าวมักจะให้ผลลัพธ์ที่คาดการณ์ได้มากกว่าและเพิ่มประสิทธิภาพโดยรวมเมื่อเวลาผ่านไป
2 ความมั่นใจ: เมื่อตัวเองมี Playbook แล้ว คุณสามารถซื้อขายด้วยความมั่นใจในตนเองที่เพิ่มขึ้น โดยรู้ว่า คุณกำลังทำการกลยุทธ์ ที่ผ่านการทดสอบมาแล้ว ความมั่นใจนี้ จะช่วยลดความเครียดและความวิตกกังวล ช่วยให้คุณมีสมาธิและตัดสินใจได้ดี
3 ความสามารถในการปรับตัว: เมื่อเผชิญกับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป การมี Playbook ไว้ใช้งานจะช่วยให้คุณสามารถปรับเปลี่ยน และปรับกลยุทธ์ได้ตามต้องการ ความสามารถในการปรับตัวนี้ เป็นปัจจัยสำคัญในการไปสู่ความสำเร็จได้
องค์ประกอบ 3 ประการของกลยุทธ์การเทรด
1. Pattern หรือ รูปแบบ : Pattern ของกราฟจะเป็นตัวกำหนดว่า จุดไหนเป็นจุดเข้าซื้อ จุดไหนเป็นจุดขาย โดยอาศัยการวิเคราะห์จากบริบท และรูปแบบกราฟ นำไปสู่การวิเคราะห์เชิงลึก
2. บริบท : ต้องทำเข้าใจบริบท สภาพแวดล้อมและสถานการณ์ที่อย่างถ่องแท้ เนื่องจากมีความสำคัญในการเพิ่มศักยภาพของกลยุทธ์การเทรดของคุณ เทรดเดอร์หลายคนเชื่อผิดว่า กลยุทธ์การซื้อขาย เป็นเพียงการระบุ
3. รูปแบบ หรือสิ่งกระตุ้นควบคู่ไปกับการบริหารความเสี่ยงขั้นพื้นฐาน
การบริหารความเสี่ยง: การจัดการความเสี่ยงที่ไม่ดี เป็นสาเหตุสำคัญของความล้มเหลวของเทรดเดอร์ มักเป็นผลมาจากการการขาดความเข้าใจ โดยแผนการจัดการความเสี่ยงของคุณไม่จำเป็นต้องซับซ้อนเกินไป แต่ต้องมีความชัดเจนและปฏิบัติตามอย่างขยันขันแข็ง ด้วยการปฏิบัติตามกลยุทธ์การบริหารความเสี่ยงที่แข็งแกร่ง คุณสามารถหลีกเลี่ยงหลุมพรางได้
สำหรับการซื้อขายรายวัน เราขอแนะนำดังต่อไปนี้
* ความเสี่ยงสูงสุด 1% ต่อการซื้อขาย
* ความเสี่ยงสูงสุด 2% ต่อวัน
* ความเสี่ยงสูงสุด 6% ต่อสัปดาห์
* ความเสี่ยงสูงสุด 10% ต่อเดือน
6 ขั้นตอนสำคัญในการสร้างและปรับแต่งกลยุทธ์การซื้อขายของคุณ:
1. กำหนด Trading Style : ไม่ว่าคุณจะเป็น Day Trade , Swing Trade หรือนักลงทุนระยะยาว ต้องเลือกกลยุทธ์ กรอบเวลา และเทคนิคการจัดการความเสี่ยงที่เหมาะสม ตัวอย่างเช่น ระบุอัตราการชนะที่คุณต้องการ (เช่น 50%+) อัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทน (เช่น 2R ขั้นต่ำ) และ Trading Style เช่น การเทรดแบบ Scalping การซื้อขายตามตำแหน่ง หรือ Swing Trade
2. หาข้อมูลวิจัย และเลือก Strategy: ศึกษากลยุทธ์การเทรดที่หลากหลาย และเลือกกลยุทธ์ที่สอดคล้องกับ Trading Style ของเรา การยอมรับความเสี่ยง และเป้าหมายทางการเงิน
3. กำหนดเกณฑ์การเข้าและออก: สำหรับแต่ละกลยุทธ์ที่เลือก ให้กำหนดการเข้าและออกที่ชัดเจน กำหนดเป้าหมาย การหยุดการขาดทุนและกำไรของคุณเพื่อให้แน่ใจว่า คุณดำเนินการซื้อขายได้อย่างถูกต้อง และจำกัดการขาดทุนที่อาจเกิดขึ้น สิ่งสำคัญ คือ ต้องจัดทำแผนการเทรดที่กำหนดไว้อย่างดี ตัวอย่างเช่น ตัดสินใจจุดคุ้มทุน เมื่อถึงอัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทน 1:1 เปิดการซื้อขาย โดยเฉพาะด้วยอัตราส่วน 1:2 หรือปิด 50% ของตำแหน่งของคุณที่ 1:1 และส่วนที่เหลือ 50% ที่ 1:3
4. สร้างกฎการบริหารความเสี่ยง: ใช้กฎการบริหารความเสี่ยงที่แข็งแกร่งเพื่อปกป้องเงินทุนของคุณ รวมถึงการตั้งค่าเปอร์เซ็นต์สูงสุดของยอดคงเหลือในบัญชีของคุณต่อความเสี่ยงต่อการเทรด หรือใช้ที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อกำหนดขนาดตำแหน่งเพื่อควบคุมความเสี่ยงโดยอัตโนมัติ
5. ทดสอบ Strategy : ก่อนที่จะลงทุนจริง ให้ทดสอบ Strategy ของคุณ โดยใช้ข้อมูลตลาดในอดีต หรือบัญชีทดลอง ขั้นตอนการทดสอบนี้ ช่วยให้คุณปรับ Strategy และสร้างความมั่นใจในแนวทางของคุณได้ หากคุณไม่ได้ผลลัพธ์ดีเท่าที่ควร ในบัญชีทดลอง ขอแนะนำให้หลีกเลี่ยงการเสี่ยงด้วยเงินจริง จนกว่าคุณทักษะของคุณจะเก่งขึ้น
6. วิเคราะห์การซื้อขาย : จัดทำบันทึกเทรด ทั้งกลยุทธ์ที่ใช้ จุดเข้าและออก และสภาวะตลาด ในแต่ละครั้ง ตรวจสอบผลการซื้อขายของคุณเป็นประจำ เพื่อระบุจุดที่ต้องปรับปรุง และปรับแผนการเทรดคุณให้เหมาะสม
คำเตือน : ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน