Por : Technical Analysisตลาดหลักทรัพย์ไทย
Shooting Star
แรงขายที่มีในช่วงบ่ายฉุดดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวขึ้นในช่วงเช้าลงมาปิดที่ 1,210.48 จุด เพิ่มขึ้น 4.71 จุด มูลค่าการซื้อขาย 8.36 หมื่นล้านบาท สัญญาณทางเทคนิคัลเริ่มกลับมาเป็นลบในเขตซื้อมากเกิน จะทำให้ดัชนีตลาดเผชิญแรงขายออกมาเป็นระยะ ต่างชาติกลับมาขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่สอง
ตลาดหุ้นนิวยอร์กประจำวันพฤหัสบดี (9/4) ปรับตัวเพิ่มขึ้นขานรับเฟดออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 2.3 ล้านล้านดอลลาร์สรอ. ท่ามกลางการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 และตัวเลขการว่างงานที่พุ่งขึ้น
ปัจจัยทางเทคนิค
จากกราฟรายวัน ดัชนีตลาดดีดตัวขึ้นทดสอบแนวต้านของช่องว่าง (Gap) ที่ 1,184 – 1,249 จุด โดยมีเส้น Multiple Moving Average แบบ Long – Term (MMA2) ที่เรียงตัวแบบตลาดขาลงเป็นแนวต้านร่วม ดัชนีตลาดปรับตัวขึ้นทำจุดสูงที่ 1,243 จุด แท่งเทียนเกิดเป็น Shooting Star ในเขตซื้อมากเกิน ทำให้ดัชนีตลาดระยะสั้นมีโอกาสพักตัวลงเข้าหาแนวรับที่ 1,184 จุด
ตามหลักการของ Granville ดัชนีตลาดจะพักตัวเมื่อปรับตัวเข้าหาแนวต้านของเส้น MMA2
จากกราฟรายสัปดาห์ ดัชนีตลาดปรับตัวลงมาทำจุดต่ำที่ 969 จุด จากที่ได้วิเคราะห์ไว้คลื่น II,E มีทิศทางปรับตัวลดลงเข้าหาแนวรับ 61.8% Fibonacci Retracement (คำนวณระหว่าง 380 จุดกับ 1,852 จุด) ที่ 942 จุด ดัชนีตลาดดีดตัวขึ้นอย่างร้อนแรง เมื่อนำจุดสูงที่ 1,852 จุด กับจุดต่ำที่ 969 จุด มาวิเคราะห์แนวต้านจะได้ ดังนี้
38.0% Fibonacci Retracement = 1,306 จุด
50.0% Fibonacci Retracement = 1,410 จุด และ
61.8% Fibonacci Retracement = 1,515 จุด
สัญญาณ Oscillator จากกราฟรายวัน สัญญาณ RSI และ MACD เป็นบวก ขณะที่สัญญาณ Modified Stochastic เป็นลบในเขตซื้อมากเกิน จะทำให้ดัชนีตลาดระยะสั้นเผชิญแรงขายออกมาเป็นระยะ
ทิศทางตลาดหลักทรัพย์ระยะสั้น มีกรอบแนวต้านอยู่ที่ 1,226 – 1,243 จุด และมีกรอบแนวรับอยู่ที่ 1,195 – 1,180 จุด
กลยุทธ์การลงทุน
หาจังหวะทยอยเข้าซื้อเมื่อดัชนีตลาดปรับตัวลดลงเข้าหาแนวรับที่ 940 จุด+/- และเกิดสัญญาณ Bullish Divergence
คำแนะนำ
- ในกรณีที่นักลงทุนจะเข้าซื้อ (ทยอย) โดยพิจารณาจากกราฟรายวัน ควรดูพิจารณาสัญญาณ Bullish Divergence ของ RSI จากกราฟรายวัน เพื่อการลงทุนระยะสั้น
- ในกรณีที่นักลงทุนจะเข้าซื้อ (ทยอย) โดยพิจารณาจากกราฟรายสัปดาห์ ควรดูพิจารณาสัญญาณ Bullish Divergence ของ MACD Histogram จากกราฟรายสัปดาห์ เพื่อการลงทุนระยะกลาง – ยาว
- ในกรณีที่ตลาดเป็น Bear Market มากๆ การเกิดสัญญาณ Bullish Divergence อาจเกิดถึง 3 ยอด (โดยทั่วไปในภาวะที่ตามปกติ สัญญาณ Bullish Divergence ส่วนใหญ่จะเป็นสองยอด)
ค้นหาในไอเดียสำหรับ "macd"
Por : Technical Analysisตลาดหลักทรัพย์ไทย
ดาวโจนส์ชี้นำในทางบวก
ดัชนีตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวขึ้นปิดที่ 1,138.84 จุด เพิ่มขึ้น 0.57 จุด มูลค่าการซื้อขาย 5.97 หมื่นล้านบาท สัญญาณทางเทคนิคัลเป็นบวกและเริ่มปรับตัวเข้าเขตซื้อมากเกิน จะทำให้ดัชนีตลาดเผชิญแรงขายออกมาเป็นระยะ ต่างชาติขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 5
ตลาดหุ้นนิวยอร์กประจำวันจันทร์ (6/4) ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1,627 จุด นักลงทุนเริ่มกลับเข้าซื้อเพื่อดักข่าวดี หลังยอดการติดเชื้อโควิด-19 มีสัญญาณชะลอตัว
ปัจจัยทางเทคนิค
จากกราฟรายวัน ดัชนีตลาดแกว่งแคบๆและปรับตัวขึ้นทดสอบแนวต้านของสามเหลี่ยม Ascending Triangle ที่มีแนวต้านอยู่ที่ 1,130 จุด ดัชนีตลาดปรับตัวขึ้นปิดที่ 1,138 จุด ดัชนีตลาดมีจุดสูงเก่าเป็นแนวต้านอยู่ที่ 1,184 จุด เส้น Multiple Moving Average แบบ Long – Term (MMA2) ที่เรียงตัวแบบตลาดขาลงเป็นแนวต้านอยู่ที่ 1,197 จุด การเกิดสัญญาณ Convergence ของสัญญาณ MACD Histogram แสดงว่าดัชนีตลาดยังมีทิศทางปรับตัวลงหรือปรับฐาน
จากกราฟรายสัปดาห์ ดัชนีตลาดมีแนวโน้มจบคลื่น I,(5),5) ที่ 1,852 จุด ดัชนีมีทิศทางปรับตัวลดลงเป็นคลื่น II,E มีทิศทางปรับตัวลดลงเข้าหาแนวรับที่ 942 จุด ซึ่งเป็นแนวรับ 61.8% Fibonacci Retracement (คำนวณระหว่าง 380 จุดกับ 1,852 จุด) และมีแนวรับถัดไปอยู่ที่ 843 จุด
เมื่อนำจุดต่ำที่ 380 จุด กับจุดสูงที่ 1,852 จุด มาวิเคราะห์แนวรับ จะได้แนวรับดังนี้
38.0% Fibonacci Retracement = 1,290 จุด
50.0% Fibonacci Retracement = 1,116 จุด
61.8% Fibonacci Retracement = 942 จุด
สัญญาณ Oscillator จากกราฟรายวัน สัญญาณทั้งระยะสั้นและระยะยาวเป็นบวก สัญญาณ Modified Stochastic ปรับตัวเข้าเขตซื้อมากเกิน จะทำให้ดัชนีตลาดระยะสั้นเผชิญแรงขายออกมาเป็นระยะ
ทิศทางตลาดหลักทรัพย์ระยะสั้น มีกรอบแนวต้านอยู่ที่ 1,161 – 1,184 จุด และมีกรอบแนวรับอยู่ที่ 1,120 – 1,100 จุด
กลยุทธ์การลงทุน
หาจังหวะทยอยเข้าซื้อเมื่อดัชนีตลาดปรับตัวลดลงเข้าหาแนวรับที่ 940 จุด+/- และเกิดสัญญาณ Bullish Divergence
คำแนะนำ
- ในกรณีที่นักลงทุนจะเข้าซื้อ (ทยอย) โดยพิจารณาจากกราฟรายวัน ควรดูพิจารณาสัญญาณ Bullish Divergence ของ RSI จากกราฟรายวัน เพื่อการลงทุนระยะสั้น
- ในกรณีที่นักลงทุนจะเข้าซื้อ (ทยอย) โดยพิจารณาจากกราฟรายสัปดาห์ ควรดูพิจารณาสัญญาณ Bullish Divergence ของ MACD Histogram จากกราฟรายสัปดาห์ เพื่อการลงทุนระยะกลาง – ยาว
- ในกรณีที่ตลาดเป็น Bear Market มากๆ การเกิดสัญญาณ Bullish Divergence อาจเกิดถึง 3 ยอด (โดยทั่วไปในภาวะที่ตามปกติ สัญญาณ Bullish Divergence ส่วนใหญ่จะเป็นสองยอด)
Por : Technical Analysisตลาดหลักทรัพย์ไทย
ตื่นการระบาดเชื้อโควิด 19
นักลงทุนตื่นการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด 19 หลัง WHO ยกระดับการแพร่ระบาดเชื้อโควิด 19 เป็นการแพร่ระบาดระดับโลก นักลงทุนต่างนำหุ้นออกเทขาย ส่งผลให้ตลาดหุ้นนิวยอร์กวันพุธ (11/2) ทรุดตัวลง ดาวโจนส์ดิ่งลงกว่า 1,400 จุด และเข้าสู่ภาวะตลาดหมี (Bear Market) เนื่องจากดาวโจนส์ปรับลดลงจากจุดสูงถึง 20 เปอร์เซ็นต์
ดัชนีตลาดหุ้นไทยปิดที่ 1,249.89 จุด ลดลง 21.36 จุด มูลค่าการซื้อขาย 7.2 หมื่นล้านบาท สัญญาณทางเทคนิคัลเป็นลบ ทำให้ดัชนีมีทิศทางปรับตัวลดลงเข้าหาแนวรับจิตวิทยาที่ 1,200 จุด นักลงทุนทั่วไปเป็นฝ่ายซื้อสุทธิ ต่างชาติขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 5
ปัจจัยทางเทคนิค
จากกราฟรายวัน ดัชนีตลาดเปิดสูงปิดต่ำ หลังดัชนีตลาดแกว่งตัวขึ้นปิดช่องว่างขาลง (Gap = 1,272 – 1,364 จุด) เป็นการปรับตัวขึ้นเพื่อปิดช่องว่างขาลง (Filling the gap) และเกิดแท่งเทียนรูป Falling Three Methods ทั้งสองรูปแบบเป็นสัญญาณลงต่อเนื่อง (Continuation pattern) ภาวะขายมากเกินจะกระตุ้นแรงซื้อกลับเข้าเก็งกำไร หนุนให้ดัชนีตลาดปรับตัวขึ้นทางเทคนิคัลเพื่อ ดัชนีตลาดปรับตัวขึ้นเพื่อลงต่อหรือเพื่อปรับฐาน เส้น Multiple Moving Average แบบ Long – Term (MMA2) เรียงตัวแบบตลาดขาลง ซึ่งเป็นการยืนยันว่าดัชนีตลาดยังมีทิศทางปรับตัวลง
จากกราฟรายสัปดาห์ ดัชนีตลาดมีแนวโน้มจบคลื่น I,(5),5) ที่ 1,852 จุด ดัชนีมีทิศทางปรับตัวลดลงเป็นคลื่น II,E ที่มีแนวรับทางจิตวิทยาอยู่ที่ 1,300 จุด มีแนวรับ 38.2% Fibonacci Retracement (คำนวณระหว่าง 380 จุดกับ 1,852 จุด) อยู่ที่ 1,292 จุด และมีแนวรับของคลื่น (4) อยู่ที่ 1,220 จุด
เมื่อนำจุดต่ำที่ 380 จุด กับจุดสูงที่ 1,852 จุด มาวิเคราะห์แนวรับ จะได้แนวรับดังนี้
38.0% Fibonacci Retracement = 1,290 จุด
50.0% Fibonacci Retracement = 1,116 จุด
61.8% Fibonacci Retracement = 942 จุด
สัญญาณ Oscillator จากกราฟรายวัน สัญญาณทั้งระยะสั้นและระยะยาวเป็นลบ ทำให้ดัชนีตลาดระยะสั้นมีทิศทางปรับตัวลดลงเข้าหาแนวรับทางจิตวิทยาที่ 1,200 จุด
ทิศทางตลาดหลักทรัพย์ระยะสั้น มีกรอบแนวต้านอยู่ที่ 1,262 – 1,287 จุด และมีกรอบแนวรับอยู่ที่ 1,238 – 1,220 จุด
กลยุทธ์การลงทุน
ได้แนะนำให้ล้างพอร์ตการลงทุน จะกลับเข้าซื้อเมื่อสัญญาณ RSI และ MACD Histogram เกิดสัญญาณ Bullish Divergence ซึ่งเป็นสัญญาณที่แสดงถึงช่วงปลายตลาดขาลง
คำแนะนำ
- ในกรณีที่นักลงทุนจะเข้าซื้อ (ทยอย) โดยพิจารณาจากกราฟรายวัน ควรดูพิจารณาสัญญาณ Bullish Divergence ของ RSI จากกราฟรายวัน เพื่อการลงทุนระยะสั้น
- ในกรณีที่นักลงทุนจะเข้าซื้อ (ทยอย) โดยพิจารณาจากกราฟรายสัปดาห์ ควรดูพิจารณาสัญญาณ Bullish Divergence ของ MACD Histogram จากกราฟรายสัปดาห์ เพื่อการลงทุนระยะกลาง – ยาว
- ในกรณีที่ตลาดเป็น Bear Market มากๆ การเกิดสัญญาณ Bullish Divergence อาจเกิดถึง 3 ยอด (โดยทั่วไปในภาวะที่ตามปกติ สัญญาณ Bullish Divergence ส่วนใหญ่จะเป็นสองยอด)
กรณีศึกษาหุ้น PTT กับระบบ CDC Action Zone TF Weekly ที่แดงมา 2ปีวันนี้ เห็นหุ้นพลังงาน ตระกูล PTT และตัวอื่นๆ ร่วงกันหนัก วันเดียว -30% ตามราคาน้ำมันโลก
ก็เลยลองมาเขียนบทความบันทึกกันไว้หน่อยนึง
ถ้าเราดูกราฟของ PTT ใน TF weekly
และเอา indicator ง่ายๆ อย่าง CDC Action Zone ใส่เข้าไป
( CDC Action Zone ก็คือ MACD มุดหรือตัดศูนย์ขึ้นลง )
เราก็จะเห็นได้ว่า ...
PTT นั้น มีสัญญาณซื้อตั้งแต่วันที่ 4 เมษา 16
และเกิดสัญญาณขายไปแล้ว ตั้งแต่วันที่ 5 พ.ย. 18
โดยใช้เวลา bull run รอบนี้สองปีครึ่ง และได้กำไรไป 76%
เห็นไหมครับว่า
"PTT มีสัญญาณขาย ตั้งแต่วันที่ 5 พ.ย. 18"
และหลังจากนั้นก็ไม่มีสัญญาณซื้ออีกเลย...
ถ้าเราแค่ ทำตามระบบ ง่ายๆ แค่ MACD ตัดศูนย์ ใน TF Weekly
เราก็จะไม่ต้องไปเสี่ยงถือหุ้นตัวที่ทรงเป็นแบบนี้อีกต่อไปแล้ว
แต่หลายๆ คน ไม่สามารถทำได้
..เพราะผมเชื่อเลยว่า คนที่ซื้อ PTT ส่วนใหญ่
ก็น่าจะไปซื้อกันที่ยอดดอย ตอนราคาขึ้นไป peak แล้ว ( ก็เม่านี่นา เธอต้องยอมรับว่าตัวเองเป็นเม่า 555 )
และก็ไปคิดว่า "มันลงมาเยอะแล้ว เดี๋ยวก็คงเด้งแหละน่า"
หุ้นพื้นฐานดีแบบนี้ ซื้อแล้วถือ ถัวๆ ไปล่ะกัน..
เจอท่ากระชากวิญญาณ วันนี้เข้าไป...
เงิบกันถ้วนหน้า..
ก็ฝากไว้นะครับ ว่า หาระบบอะไรมาเทรด ไปซะ อย่าเทรดด้วยอารมณ์
ไม่ว่าจะเป็นหุ้นหรือคริปโต
แล้วชีวิตท่านจะง่ายขึ้นมากเลยครับ 555
Por : Technical Analysisตลาดหลักทรัพย์ไทย
พิษ Covid-19
แรงซื้อกลับเข้าเก็งกำไรหลังดัชนีตลาดหุ้นไทยดิ่งลงต่อเนื่อง แรงซื้อที่กลับเข้ามาในหุ้นกลุ่มนำตลาด หนุนดัชนีตลาดปรับตัวขึ้นปิดที่ 1,395.08 จุด เพิ่มขึ้น 28.67 จุด มูลค่าการซื้อขาย 7.45 หมื่นล้านบาท สัญญาณทางเทคนิคัลระยะสั้นเริ่มกลับมาเป็นบวก ทำให้ดัชนีตลาดมีโอกาสปรับตัวขึ้นเพื่อลงหรือปรับฐาน ต่างชาติขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 6
ตลาดหุ้นนิวยอร์กประจำวันพฤหัสบดี (27/2) ดาวโจนส์ดิ่งลง 1,190 จุด (จากจุดสูงดาวโจนส์ปรับลดลง 10%) นักลงทุนกลัวว่า Covid-19 จะระบาดในสหรัฐ ส่งผลต่อเศรษฐกิจในวงกว้าง
ปัจจัยทางเทคนิค
จากกราฟรายวัน ดัชนีตลาดปรับตัวลงไปทำจุดต่ำที่ 1,355 จุด แท่งเทียนเกิดเป็น Thrusting pattern (เป็นสัญญาณตัวอ่อนๆ) ในเขตขายมากเกิน แรงซื้อที่กลับเข้ามาจะหนุนให้ดัชนีตลาดระยะสั้นปรับตัวขึ้นทางเทคนิคัล แต่จะเป็นการปรับตัวขึ้นเพื่อลงหรือปรับฐาน เนื่องจากดัชนีตลาดเคลื่อนตัวอยู่ในแนวโน้มขาลง และการเรียงตัวของเส้น Multiple Moving Average แบบ Long – Term (MMA2) ที่เรียงตัวแบบตลาดขาลง ยืนยันดัชนีตลาดยังเป็นตลาดขาลง และการเกิดสัญญาณ Convergence ของ RSI ชี้ว่าดัชนีตลาดยังมีความเสี่ยงที่จะปรับตัวลงหรือปรับฐาน
จากกราฟรายสัปดาห์ ดัชนีตลาดมีทิศทางการจบคลื่น III ที่ 1,848 จุด จากนั้นดัชนีตลาดแกว่งตัวลงไปตามช่องแนวโน้มขาลงระยะยาวเป็นคลื่นปรับ (Corrective wave) แบบ A-B-C-D-E ดัชนีตลาดปรับตัวลงหลุดแนวรับของแนวโน้มขาลงที่ 1,455 จุด และมีทิศทางปรับตัวลงเข้าหาแนวรับที่ 1,343 จุด ซึ่งจะเป็นเป้าหมายของคลื่น IV, E
การนับคลื่นเอลเลียตอาจผิดพลาดเนื่องจากไม่เป็นไปตามหลักการ Overlapping แต่อย่างไรก็ดี การที่ดัชนีตลาดปรับขึ้นเป็นคลื่น III แบบ Truncation wave จะทำให้ดัชนีตลาดมีความเสี่ยงที่จะปรับตัวลงแรงตามมา
สัญญาณ Oscillator จากกราฟรายวัน สัญญาณ Modified Stochastic เริ่มกลับมาเป็นบวก ทำให้ดัชนีตลาดระยะสั้นมีโอกาสปรับตัวขึ้นทางเทคนิคัล แต่การเกิดสัญญาณ Convergence ของ RSI และ MACD Histogram ทำให้ดัชนีตลาดยังมีโอกาสที่จะปรับตัวลงต่อหรือปรับฐาน
ทิศทางตลาดหลักทรัพย์ระยะสั้น มีกรอบแนวต้านอยู่ที่ 1,415 – 1,435 จุด และมีกรอบแนวรับอยู่ที่ 1,376 – 1,355 จุด
กลยุทธ์การลงทุน
ได้แนะนำให้ล้างพอร์ตการลงทุน จะกลับเข้าซื้อเมื่อสัญญาณ RSI และ MACD Histogram เกิดสัญญาณ Bullish Divergence ซึ่งเป็นสัญญาณที่แสดงถึงช่วงปลายตลาดขาลง
BTCUSD ถ้าปิดแท่งต่ำกว่า 7290 อาจจะลงต่ออย่างหนักในเดือน มค.2020จากรูป จะเห็นได้ว่า
วันนี้ BTC โดนกดลงมาจนอยู่แถวๆ โซน 7150
ทำให้ จะปิดแท่งเดือน ธ.ค. 2019 แบบราคา close ต่ำกว่าเส้น EMA 18 ( ค่า EMA 18 Monthly อยู่ประมาณ 7290 )
ซึ่งจากอดีตที่ผ่านมา เราเคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นตอนปี 2018
ที่ราคาแท่ง Month ปิดต่ำกว่าเส้น EMA 18 ในเดือน Sep 2018
แล้วพอเดือน Nov 2018 ราคาก็ทิ้งดิ่งลงไปอีก -40% จนไปหยุดแถวๆ 3200
ยัง..ยังไม่พอ การปิดแท่ง Month แถวๆ นี้จะทำให้
ราคาปิดต่ำกว่า Fibo 0.618 แถวๆ 7250 อีกด้วย
ซึ่งแนวรับ fibo ถัดไปก็จะอยู่ประมาณ 5500 และ 4200 ตามลำดับ
นอกเหนือจากการปิดแท่งต่ำกว่าเส้น EMA 18 Month แล้ว
ยังมี MACD Death Cross เกิดขึ้นอีกด้วย
ซึ่งจากอดีด ที่ผ่านมา พอเกิด death cross หลังจากนั้นราคาก็ลงต่ออีกยาว
ตอนนี้ก็ได้แต่ลุ้นว่า..
1) เหลืออีก 4 ชม. ก่อนปิดแท่ง Monthly ราคาจะโดนดึงกลับขึ้นไปยืนเหนือ EMA 18 ที่มากกว่า 7300 ให้ได้ เพื่อลบล้างมุมมองขาลง สองข้อแรก
2) แต่ปัญหาก็อยู่ที่ MACD death cross นี่แหละครับ เพราะอดีตที่ผ่านมา เราไม่เคยหนีมันได้เลยน่ะ... cross แล้วลงต่ออีกยาว
ตอนนี้ผมก็ได้แต่สวดมนต์ แผ่กุศล ให้สาย long ทั้งหลาย ที่ยังถัว long กันลงมาตั้งแต่ยอด
ให้พอร์ตรอดปลอดภัย ไม่โดนล้าง ตลอดปี 2020 ด้วย เทิญ
เจริญพร
Por : Technical Analysisตลาดหลักทรัพย์ไทย
ทดสอบแนวต้าน 1,650 จุด
แรงซื้อที่กลับเข้ามาในหุ้นกลุ่มนำตลาด หนุนดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นปิดที่ 1,626.00 จุด เพิ่มขึ้น 18.50 จุด มูลค่าการซื้อขาย 6.16 หมื่นล้านบาท สัญญาณทางเทคนิคัลเริ่มกลับมาเป็นบวก สัญญาณ Bullish Divergence แสดงถึงปลายตลาดขาลง ทำให้ดัชนีตลาดระยะสั้นมีทิศทางปรับตัวเข้าหาแนวต้านที่ 1,650 จุด สถาบันภายในประเทศกลับมาเป็นกลุ่มนำซื้อสุทธิ ตลาดหุ้นนิวยอร์กปรับลดลงเล็กน้อย นักลงทุนชะลอการซื้อขายเพื่อรอดูบทสรุปการเจรจาการค้าระหว่างจีนและสหรัฐ
ปัจจัยทางเทคนิค
จากกราฟรายสัปดาห์ ดัชนีตลาดจะยืนยันการจบคลื่นปรับ (Corrective wave) คลื่น ii) ที่ 1,603 จุด เมื่อดัชนีตลาดสามารถยืนปิดเหนือ 1,645 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่หนาแน่นและต่อเนื่อง ก่อนที่ดัชนีตลาดจะปรับตัวขึ้นเป็นคลื่นส่ง (Impulse wave) คลื่น iii) ที่มีเป้าหมายอยู่ที่ 1,750 จุด
จากความยาวของคลื่น i) และคลื่น ii) ในขณะนี้ จะมีเป้าหมาย 161.8% Fibonacci Projection ของคลื่น iii) อยู่ที่ 1,748 จุด+/-
จากกราฟรายวัน ดัชนีตลาดดีดตัวขึ้นปิดเหนือแนวต้านที่ 1,625 จุด หลังดัชนีตลาดปรับตัวลงไปทำจุดต่ำที่ 1,603 จุดถึงสองครั้ง และเกิดสัญญาณ Bullish Divergence ของ RSI และ MACD Histogram เสมือนเป็นสัญญาณเตือนในช่วงปลายตลาดขาลง
ดัชนีตลาดระยะสั้นมีทิศทางปรับตัวเข้าหาแนวต้านของเส้น Multiple Moving Average แบบ Long – Term (MMA2) ที่เรียงตัวแบบตลาดขาลง โดยมีเส้นแนวโน้มขาลงเป็นแนวต้านร่วม ดัชนีตลาดจะยืนยันการปรับตัวขึ้นเมื่อดัชนีตลาดสามารยืนปิดเหนือ 1,645 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่หนาแน่นและต่อเนื่อง
สัญญาณ Oscillator จากกราฟรายวัน สัญญาณ Modified Stochastic และ RSI เป็นบวก การเกิดสัญญาณ Bullish Divergence ของ RSI และ MACD Histogram เป็นเสมือนสัญญาณที่ชี้ว่าดัชนีตลาดกำลังอยู่ในช่วงปลายตลาดขาลง และใช้เป็นจุดเข้าซื้อ
ทิศทางตลาดหลักทรัพย์ระยะสั้น มีกรอบแนวต้านอยู่ที่ 1,635 – 1,641 จุด และมีกรอบแนวรับอยู่ที่ 1,620 – 1,613 จุด
กลยุทธ์การลงทุน
ถือพอร์ตการลงทุนไว้ที่ 70 เปอร์เซ็นต์ของพอร์ต และรอซื้อเพิ่มเมื่อเกิดสัญญาณ Bullish Divergence
BTCUSD และความขลังของ EMA(18)เอาจริงๆ ผมไปเจอค่านี้ จากกูรูฝรั่งท่านนึง เลยลองเอามาใช้ดู ก็พบว่า
โคตรขลัง! เมื่อไหร่ที่ราคาหลุดลงไปใต้ EMA(18) เมื่อไหร่ ใน TF daily
จะพบว่า การขึ้นมายืนเหนือได้นั้น ยากมากๆ
ยิ่งช่วงนี้ ตลาดทุนทั่วโลก เหมือนจะเจอ correction กันหนัก
ผมว่า BTC เองก็ไม่น่ารอด เดี๋ยวก็คงลงต่ออีกเช่นกัน
ตอนนี้ ถ้าดู เวลาเทียบกับปี 2018 ก็พบว่า น่าสนใจ
เพราะการดีดขึ้นมาทดสอบ EMA(18) ครั้งนี้ ในปี 2019
ใช้เวลาเท่ากันกับ ตอนปี 2018 เลย คือ 36 วัน
ซึ่งหลังจากเทสแล้วไม่ผ่าน ก็ร่วงเละ.. และวิ่งลงไปจนถึง 6k โน่นเลย
วีคหน้า ถ้าปิดแท่งแบบย่ำแย่แบบนี้ เราจะเจอ MACD ตัดกันระดับ week ด้วย
ก็ไม่เป็นสัญญาณที่ดีเท่าไหร่
เพราะตอนปี 2018 ก็มีการตัดกันของ MACD week แล้วหลังจากนั้นก็ร่วงเละ
Por : Technical Analysisตลาดหลักทรัพย์ไทย
ระยะสั้นระวังภาวะซื้อมากเกิน
แรงซื้อที่มีเข้ามาในหุ้นกลุ่มนำตลาดหลังจีนและสหรัฐพักรบข้อพิพาททางการค้า หนุนดัชนีตลาดหุ้นไทยดีดตัวขึ้นทำจุดสูงที่ 1,747 จุด ก่อนที่จะอ่อนตัวลงมาปิดที่ 1,740.91 จุด เพิ่มขึ้น 10.57 จุด มูลค่าการซื้อขาย 6.85 หมื่นล้านบาท สัญญาณทางเทคนิคัลเป็นบวกในเขตซื้อมากเกิด แรงขายทำกำไรระยะสั้นจะทำให้ดัชนีตลาดมีโอกาสอ่อนตัวลง โดยระยะกลางดัชนีตลาดยังคงเคลื่อนตัวอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นเข้าหาแนวต้านที่ 1,766 จุด และ 1,820 จุด ตามลำดับ ต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิ ตลาดหุ้นนิวยอร์กปรับตัวขึ้นปิดในแดนบวก หลังจีนและสหรัฐพักรบสงครามการค้า
ปัจจัยทางเทคนิค
จากกราฟรายวัน ดัชนีตลาดดีดตัวขึ้นแบบมีช่องว่าง (Gap) ดัชนีตลาดเปิดสูงปิดต่ำแท่งเทียนลำตัวเล็กสีดำ ดัชนีตลาดมีทิศทางปรับตัวเข้าหาแนวต้านของจุดสูงเก่าที่ 1,766 จุด ภาวะซื้อมากเกินจะกระตุ้นแรงขายออกมาเป็นระยะ ส่งผลให้ดัชนีตลาดระยะสั้นมีโอกาสพักตัวลง ขณะที่เส้น Multiple Moving Average แบบ Long – Term (MMA2) เรียงตัวแบบตลาดขาขึ้นด้วยความลาดชันที่เพิ่มขึ้น สะท้อนถึงดัชนีตลาดระยะกลางขึ้นไปยังเป็นตลาดขาขึ้น ทำให้ดัชนีตลาดที่พักตัวลงเป็นการปรับตัวลงเพื่อขึ้นต่อ
จากกราฟรายวัน ดัชนีตลาดมีแนวโน้มจบคลื่น (ii) ที่ 1,599 จุด และกำลังเคลื่อนตัวไปตามแนวโน้มขาขึ้น ดัชนีตลาดปรับตัวขึ้นเป็นคลื่นส่ง (Impulse wave) คลื่น (iii) ที่มีเป้าหมายอยู่ที่ 1,820 จุด กราฟรายวันแสดงถึงดัชนีตลาดที่ปรับตัวขึ้นเริ่มอ่อนแรง ต่างไปจากกราฟรายสัปดาห์ความลาดชันของ MACD Histogram ยังสะท้อนถึงภาวะตลาดกระทิง (Bull market)
สัญญาณ Oscillator จากกราฟรายวัน สัญญาณทั้งระยะสั้นและระยะยาวเป็นบวก ภาวะซื้อมากเกินจะกระตุ้นแรงขายออกมาเป็นระยะซึ่งจะทำให้ดัชนีตลาดพักตัวลง แต่ระยะกลางขึ้นไปดัชนียังเคลื่อนตัวอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น สำหรับนักลงทุนต้องการขายเพื่อทำกำไรเป็นรอบ ควรสัญญาณ RSI เกิดสัญญาณ Bearish Divergence จึงนำหุ้นออกขาย
ทิศทางตลาดหลักทรัพย์ระยะสั้น มีกรอบแนวต้านอยู่ที่ 1,747 – 1,753 จุด และมีกรอบแนวรับอยู่ที่ 1,735 – 1,729 จุด
กลยุทธ์การลงทุน
คงระดับพอร์ตการลงทุนไว้ที่ 80 เปอร์เซ็นต์ของพอร์ต
จากกราฟรายวันดัชนีตลาดเริ่มปรากฏสัญญาณ Bearish Divergence ของ MACD Histogram แม้จะมีนัยสำคัญน้อยกว่าสัญญาณ Bearish Divergence ของ RSI แต่ก็เป็นสัญญาณเตือนให้ระวังถึงความเสี่ยงช่วงปลายตลาดขาขึ้น จึงควรหลีกเลี่ยงการไล่ราคา
Por : Technical Analysisตลาดหลักทรัพย์ไทย
ยุติสงครามการค้า
ดัชนีตลาดหุ้นไทยปิดส่งท้ายเดือนมิถุนายนที่ 1,730.34 จุด ในรอบครึ่งปีแรกของปีดัชนีตลาดปรับตัวเพิ่มขึ้น 166.46 จุด หรือเพิ่มขึ้น 10.64 เปอร์เซ็นต์ มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยของสัปดาห์ที่ผ่านมา 6.2 หมื่นล้านบาท ต่างชาติมีแนวโน้มซื้อสุทธิต่อเนื่อง ภาวะซื้อมากเกินในระยะสั้นจะกระตุ้นแรงขายออกมาเป็นระยะ โดยดัชนีตลาดระยะกลางมีทิศทางปรับตัวเข้าหาแนวต้านที่ 1,740 จุด และ 1,766 จุด ตามลำดับ สัปดาห์นี้คาดว่าตลาดหุ้นนิวยอร์กจะได้รับแรงหนุนจากข่าวจีนและสหรัฐยุติการขึ้นภาษีรอบใหม่ เพื่อหันหน้าเจรจาการค้ารอบใหม่ และทรัมป์ผ่อนผันให้บริษัทสหรัฐค้าขายกับบริษัทหัวเว่ย
ปัจจัยทางเทคนิค
จากกราฟรายสัปดาห์ ดัชนีตลาดมีแนวโน้มจบคลื่น (ii) ที่ 1,599 จุด และกำลังเคลื่อนตัวไปตามแนวโน้มขาขึ้น ดัชนีตลาดปรับตัวขึ้นเป็นคลื่นส่ง (Impulse wave) คลื่น (iii) ที่มีเป้าหมายอยู่ที่ 1,820 จุด กราฟรายวันแสดงถึงดัชนีตลาดที่ปรับตัวขึ้นเริ่มอ่อนแรง ต่างไปจากกราฟรายสัปดาห์ความลาดชันของ MACD Histogram ยังสะท้อนถึงภาวะตลาดกระทิง (Bull market)
จากกราฟรายวัน ดัชนีตลาดแกว่งตัวแคบๆเข้าหาแนวต้านที่ 1,740 จุด แท่งเทียนเกิดเป็นสตาร์ หลังดัชนีตลาดดีดตัวขึ้นแบบมีช่องว่างที่ 1,722 – 1,726 จุด กรณีที่ดัชนีตลาดเปิดต่ำปิดสูงและมูลค่าการซื้อขายหนาแน่น ช่องว่างที่เกิดจะเป็น Breakaway gap เป็นสัญญาณขึ้นต่อเนื่อง แต่ถ้าดัชนีตลาดเปิดสูงปิดต่ำ (Key Reversal Day) ช่องว่างที่เกิดจะเป็น Exhaustion gap ซึ่งเป็นสัญญาณปลายตลาดขาขึ้น ดัชนีตลาดมีความเสี่ยงที่จะปรับตัวลง
เส้น Multiple Moving Average แบบ Long – Term (MMA2) เรียงตัวแบบตลาดขาขึ้นและความลาดชันเพิ่มขึ้น ชี้ถึงภาวะตลาดขาขึ้น (Bull market) ทำให้ดัชนีตลาดที่ปรับตัวลงจะมีทิศทางปรับตัวขึ้นต่อ
สัญญาณ Oscillator จากกราฟรายสัปดาห์ สัญญาณทั้งระยะสั้นและระยะยาวเป็นบวก ภาวะซื้อมากเกินจะกระตุ้นแรงขายออกมาเป็นระยะซึ่งจะทำให้ดัชนีตลาดพักตัวลง แต่ระยะกลางขึ้นไปดัชนียังเคลื่อนตัวอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น สำหรับนักลงทุนต้องการขายเพื่อทำกำไรเป็นรอบ ควรสัญญาณ RSI เกิดสัญญาณ Bearish Divergence จึงนำหุ้นออกขาย
ทิศทางตลาดหลักทรัพย์ระยะสั้น มีกรอบแนวต้านอยู่ที่ 1,735 – 1,742 จุด และมีกรอบแนวรับอยู่ที่ 1,725 – 1,720 จุด
กลยุทธ์การลงทุน
คงระดับพอร์ตการลงทุนไว้ที่ 80 เปอร์เซ็นต์ของพอร์ต
จากกราฟรายวันดัชนีตลาดเริ่มปรากฏสัญญาณ Bearish Divergence ของ MACD Histogram แม้จะมีนัยสำคัญน้อยกว่าสัญญาณ Bearish Divergence ของ RSI แต่ก็เป็นสัญญาณเตือนให้ระวังถึงความเสี่ยงช่วงปลายตลาดขาขึ้น จึงควรหลีกเลี่ยงการไล่ราคา
Por : Technical Analysisตลาดหลักทรัพย์ไทย
หลีกเลี่ยงการไล่ราคา
แรงซื้อที่มีเข้ามาในหุ้นกลุ่มนำตลาด หนุนดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นปิดที่ 1,731.64 จุด เพิ่มขึ้น 9.43 จุด มูลค่าการซื้อขาย 6.8 หมื่นล้านบาท สัญญาณทางเทคนิคัลเป็นบวกในเขตซื้อมากเกิน ดัชนีตลาดมีทิศทางปรับตัวเข้าหาแนวแนวต้านที่ 1,740 จุด และ 1,766 จุด ตามลำดับ แม้สัญญาณทางเทคนิคัลจะแสดงถึงการปรับตัวไปตามแนวโน้มขาขึ้น แต่ระยะสั้นควรหลีกเลี่ยงการไล่ราคาหุ้น ต่างชาติเดินหน้าซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 8 ตลาดหุ้นนิวยอร์กแกว่งตัวแบบไร้ทิศทาง นักลงทุนกังวลว่าการเจรจาการค้าระหว่างสี จิ้นผิงและทรัมป์อาจไม่บรรลุข้อตกลง
ปัจจัยทางเทคนิค
จากกราฟรายวัน ดัชนีตลาดดีดตัวขึ้นแบบมีช่องว่างที่ 1,722 – 1,726 จุด ดัชนีตลาดปิดค่อนไปทางสูงทำให้ช่องว่างที่เกิดมีแนวโน้มเป็น Breakaway gap หรือ High Price Gapping Play ซึ่งเป็นสัญญาณขึ้นต่อเนื่อง ดัชนีตลาดจึงมีทิศทางปรับตัวขึ้นต่อ เส้น Multiple Moving Average แบบ Long – Term (MMA2) เรียงตัวแบบตลาดขาขึ้นด้วยความลาดชันที่เพิ่มขึ้น เป็นสัญญาณยืนยันถึงทิศทางขาขึ้นในระยะกลาง
อย่างไรก็ดี การเกิดสัญญาณ Bearish Divergence ของ MACD Histogram เตือนให้ระวังถึงความเสี่ยงในระยะสั้น
จากกราฟรายวัน ดัชนีตลาดดีดตัวทะลุผ่านแนวต้านของเส้นแนวโน้มขาลงระยะกลางที่ 1,664 จุด ซึ่งจากนี้ไปจะทำหน้าที่เป็นแนวรับ ดัชนีตลาดมีแนวโน้มจบคลื่นปรับ (Corrective wave) คลื่น (ii) ที่ 1,599 จุด และดัชนีตลาดกำลังปรับตัวขึ้นเป็นคลื่นส่ง (Impulse wave) คลื่น (iii) ที่มีเป้าหมายอยู่ที่ 1,820 จุด
สัญญาณ Oscillator จากกราฟรายวัน สัญญาณทั้งระยะสั้นและระยะยาวเป็นบวก ภาวะซื้อมากเกินจะกระตุ้นแรงขายออกมาเป็นระยะซึ่งจะทำให้ดัชนีตลาดพักตัวลง แต่ระยะกลางขึ้นไปดัชนียังเคลื่อนตัวอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น สำหรับนักลงทุนต้องการขายเพื่อทำกำไรเป็นรอบ ควรสัญญาณ RSI เกิดสัญญาณ Bearish Divergence จึงนำหุ้นออกขาย
ทิศทางตลาดหลักทรัพย์ระยะสั้น มีกรอบแนวต้านอยู่ที่ 1,735 – 1,742 จุด และมีกรอบแนวรับอยู่ที่ 1,726 – 1,720 จุด
กลยุทธ์การลงทุน
คงระดับพอร์ตการลงทุนไว้ที่ 80 เปอร์เซ็นต์ของพอร์ต
จากกราฟรายวันดัชนีตลาดเริ่มปรากฏสัญญาณ Bearish Divergence ของ MACD Histogram แม้จะมีนัยสำคัญน้อยกว่าสัญญาณ Bearish Divergence ของ RSI แต่ก็เป็นสัญญาณเตือนให้ระวังถึงความเสี่ยงช่วงปลายตลาดขาขึ้น จึงควรหลีกเลี่ยงการไล่ราคา
Por : Technical Analysisตลาดหลักทรัพย์ไทย
เริ่มเกิดสัญญาณ Bullish Divergence
แรงซื้อที่กลับเข้ามาในหุ้นกลุ่มนำตลาด หนุนดัชนีตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวปิดที่ 1,622.10 จุด ทั้งสัปดาห์ดัชนีตลาดปรับตัวลง 12.90 จุด มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยวันละ 3.69 หมื่นล้านบาท สัญญาณทางเทคนิคัลระยะสั้นเริ่มกลับมาเป็นบวก ส่งผลให้ดัชนีตลาดปรับตัวขึ้นทางเทคนิคัลสลับกับการปรับตัวลงเข้าหาแนวรับที่ 1,600 จุด ต่างชาติขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 5 (นับจากต้นปีเป็นต้นมา ต่างชาติมียอดขายสุทธิกว่า 2.86 แสนล้านบาท) ขณะที่ตลาดหุ้นนิวยอร์กปรับตัวลดลง หลังราคาน้ำมันดิบ WTI ดิ่งลงกว่า 7 เปอร์เซ็นต์
ปัจจัยทางเทคนิค
จากกราฟรายสัปดาห์ ดัชนีตลาดมีทิศทางพักตัวลงเป็นคลื่นปรับ (Corrective wave) กรณีที่ดัชนีตลาดปรับตัวลงแต่ไม่ต่ำกว่า 1,584 จุด ดัชนีตลาดจะปรับตัวลงเป็นคลื่น (ii) ซึ่งจะถูกยืนยันด้วยของสัญญาณ Bullish Divergence ของ MACD Histogram
ในกรณีที่ดัชนีตลาดปรับตัวลงต่ำกว่า 1,584 จุด และปรับตัวลงเข้าหาแนวรับของเส้นแนวโน้มขาขึ้นระยะยาวที่ 1,565 จุด ดัชนีตลาดจะปรับตัวลงเป็นคลื่นปรับ คลื่น 4
จากกราฟรายวัน ดัชนีตลาดกำลังพักตัวลงเป็นคลื่นปรับ ซึ่งอาจปรับตัวลงเป็นคลื่น (ii) ดัชนีตลาดต้องยืนเหนือ 1,584 จุด หรือคลื่น 4 ที่ดัชนีตลาดปรับตัวลงต่ำกว่า 1,584 จุด โดยมีแนวรับของเส้นแนวโน้มขาขึ้นระยะยาวที่ 1,565 จุดเป็นเป้าหมาย
จากกราฟรายวัน ดัชนีตลาดแกว่งตัวแบบผันผวนเหนือแนวรับทางจิตวิทยาที่ 1,600 จุด โดยมีเส้นแนวโน้มขึ้น (ลากระหว่างจุดต่ำที่ 1,584 จุด กับ 1,596 จุด) สัญญาณ Bullish Divergence ของ RSI ชี้ว่าดัชนีตลาดกำลังอยู่ในช่วงปลายตลาดขาลง จะทำให้ดัชนีตลาดปรับตัวเข้าหาแนวต้านของเส้นแนวโน้มขาลงระยะสั้นที่ 1,645 จุด โดยมีเส้น Multiple Moving Average แบบ Long – Term (MMA2) ที่เรียงตัวแบบตลาดขาลงเป็นแนวต้านร่วม
สัญญาณทางเทคนิคัลมีความขัดแย้งกัน โดยสัญญาณ Modified Stochastic และ RSI แสดงว่าดัชนีตลาดมีโอกาสปรับตัวขึ้น แต่เส้น MMA2 และ DMI กลับชี้ว่าดัชนีตลาดยังอยู่ในช่วงการปรับตัวลงต่อ
สัญญาณ Oscillator จากกราฟรายสัปดาห์ สัญญาณ Modified Stochastic และ RSI กลับมาเป็นบวก ขณะที่สัญญาณ MACD เป็นลบ สัญญาณ RSI เกิดสัญญาณขัดแย้งปลายตลาดขาลง (Bullish Divergence) ซึ่งเป็นเสมือนสัญญาณเตือนถึงช่วงปลายตลาดขาลง อย่างไรก็ดี ในภาวะตลาดหมี (Bear Market) สัญญา RSI อาจเกิด Bullish Divergence แบบสามยอด
ทิศทางตลาดหลักทรัพย์ระยะสั้น มีกรอบแนวต้านอยู่ที่ 1,628 – 1,635 จุด และมีกรอบแนวรับอยู่ที่ 1,617 – 1,610 จุด
กลยุทธ์การลงทุน
เพิ่มน้ำหนักการลงทุน 10 เปอร์เซ็นต์ในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐาน เนื่องจากสัญญาณ RSI เกิดสัญญาณ Bullish Divergence แต่ยังเน้นถือเงินสดไว้ที่ระดับ 40 เปอร์เซ็นต์
Por : Technical Analysisตลาดหลักทรัพย์ไทย
แนวโน้มผันผวน
ปัจจัยทางเทคนิค
จากกราฟรายสัปดาห์ ดัชนีตลาดมีทิศทางปรับตัวลงเข้าหาแนวรับของเส้นแนวโน้มขาขึ้นระยะยาวที่ 1,670 จุด ดัชนีตลาดจบคลื่น (i) ลงเป็นคลื่นปรับ (Corrective wave) คลื่น (ii) ที่มีเป้าหมายอยู่ที่ 1,670 – 1,666 จุด ก่อนที่จะปรับขึ้นเป็นคลื่น (iii) คลื่น (iv) และคลื่น (v) ตามลำดับ คลื่น (v) หรือคลื่น 3),5,(v) ที่มีเป้าหมายอยู่ที่ 1,890 จุด
ดัชนีตลาดยังคงเคลื่อนตัวอยู่ในช่องแนวโน้มขาขึ้นระยะยาว
สัญญาณ Oscillator จากกราฟรายสัปดาห์ สัญญาณ MACD เป็นบวก ขณะที่สัญญาณ Modified Stochastic และ RSI เป็นลบ ทำให้ดัชนีตลาดระยะสั้นยังอยู่ในช่วงปรับฐาน
จากกราฟรายวัน ดัชนีตลาดปรับตัวขึ้นและลงแบบมีช่องว่าง สะท้อนถึงความผันผวนของดัชนีตลาดที่เกิดจากปัจจัยภายนอกประเทศเป็นตัวกระตุ้น ดัชนีตลาดปรับตัวลดลงทดสอบแนวรับ 50.0% Fibonacci retracement ที่ 1,675 จุด และมีแนวรับของจุดต่ำเก่าที่ 1,666 จุด เป็นแนวรับร่วม
สัญญาณ Oscillator จากกราฟรายวัน สัญญาณ Modified Stochastic กลับมาเป็นบวกในเขตขายมากเกิน ขณะที่สัญญาณ RSI และ MACD เป็นลบ แรงซื้อเก็งกำไรระยะสั้นหนุนดัชนีตลาดปรับตัวขึ้นทางเทคนิคัล โดยดัชนีตลาดยังอยู่ในช่วงปรับฐาน
ทิศทางตลาดหลักทรัพย์ในรอบสัปดาห์นี้ มีกรอบแนวต้านอยู่ที่ 1,705 – 1,715 จุด และมีกรอบแนวรับอยู่ที่ 1,688 – 1,680 จุด
กลยุทธ์การลงทุน
ดัชนีตลาดมีแนวโน้มที่จะแกว่งตัวเข้าหาแนวรับที่ 1,670 – 1,666 จุด สลับกับการปรับตัวขึ้นทางเทคนิคัลระหว่างวัน
ยังคงแนะนำให้เน้นถือเงินสดอย่างน้อย 40 เปอร์เซ็นต์ของพอร์ต และจะกลับเข้าซื้อหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานเมื่อเกิดสัญญาณ Bullish divergence ของ RSI
Por : Technical Analysisตลาดหลักทรัพย์ไทย
แนวรับ 1,730 จุด
ปัจจัยทางเทคนิค
จากกราฟรายวัน ดัชนีตลาดปรับตัวลดลงเป็นวันที่สอง หลังดัชนีตลาดปรับตัวขึ้นทำจุดสูงที่ 1,766 จุด หากดัชนีตลาดไม่สามารถยืนเหนือแนวรับของเส้นคอ (Neckline) ที่ 1,735 จุด จะเป็นการยืนยันสัญญาณกลับตัวรูป Double Top ที่เกิดในเขตซื้อมากเกินร่วมกับสัญญาณ Bearish divergence ของ RSI ดัชนีตลาดมีทิศทางปรับตัวลงเข้าหาแนวรับของจุดสูงเก่าที่ 1,730 จุด
ดัชนีตลาดเคลื่อนตัวอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นและมีเส้นแนวโน้มขาขึ้นระยะกลางเป็นแนวรับอยู่ที่ 1,700 จุด+/-
จากกราฟรายวัน กรณีที่ดัชนีตลาดไม่สามารถยืนปิดเหนือ 1,735 จุด จะเป็นสัญญาณยืนยันการจบคลื่นส่ง (Impulse wave) คลื่น v) หรือคลื่น (i),v) โดยคลื่น v) เป็นคลื่นหดตัว (Truncation wave) ซึ่งจะทำให้การปรับตัวลงเป็นคลื่นปรับ (Corrective wave) คลื่น (ii) มีโอกาสปรับตัวลงแรงเข้าหาแนวรับที่ 1,730 จุด และ 1,700 จุด ตามลำดับ
สัญญาณ Oscillator จากกราฟรายวัน สัญญาณ Modified Stochastic และ RSI เป็นลบ ขณะที่สัญญาณ MACD เป็นบวก (สัญญาณ MACD มีโอกาสที่จะเป็นลบสูง) ทำให้ดัชนีตลาดระยะสั้นมีทิศทางปรับตัวลดลงเข้าหาแนวรับที่ 1,730 จุด
ทิศทางตลาดหลักทรัพย์ระยะสั้น มีกรอบแนวต้านอยู่ที่ 1,748 – 1,753 จุด และมีกรอบแนวรับอยู่ที่ 1,735 – 1,730 จุด
กลยุทธ์การลงทุน
ถือเงินสดอย่างน้อย 40 เปอร์เซ็นต์ของพอร์ต และจะกลับเข้าซื้อหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานเมื่อเกิดสัญญาณ Bullish divergence ของ RSI
ECL จะหมดแนวโน้มขาลงแล้วหรือยัง?เราติดตามรูปแบบราคาของกราฟ Ecl พบว่าถึงแม้ตัวกราฟจะเป็นแนวโน้มขาลงมาตลอด 1 ปีที่ผ่านมา
แต่สิ่งที่ทำให้เราเริ่มสนใจคือ
1.รูปแบบการขัดแย้งของ Macd ซึ่งเราพบว่ามีความขัดแย้งกัน โดยสังเกตจากการที่ราคาลง แต่ Macd ไม่ยอมลงตาม (ทำให้คาดการณ์ว่ามีแรงขายลดลง มีแรงซื้อเพิ่มขึ้น?)
2.ตัวกราฟ Ecl ไม่ทำ นิวโลว์แล้ว
และ 3.จ่อเบรคเส้นเทรนไลน์ระยะยาว ซึ่่งหากเบรคเส้นเทรนไลน์ระยะยาวนี้ได้โอกาสที่กราฟ Ecl จะหมดแนวโน้มขาลงจะมีสูงมาก (เทรนไลน์ยิ่งไกลยิ่งมีนัยสำคัญ)
สิ่งที่คาดหวัง
1.อันดับแรก เบรคเทรนไลน์ระยะยาวให้ได้ซะก่อน ซึ่งราคาจะต้องไม่หลุดลงมาต่ำกว่าเส้นแนวโน้มนี้อีก เพื่อความพร้อมในการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มจากขาลง ซึ่งอาจจะเปลี่ยนไปเป็นแนวโน้มขาขึ้นหรือ Sideway ต่อก็ได้
2.การเบรคแนวต้านเดิมที่ 2.14 บาท นั่นคือจะทำให้กราฟกลายเป็นรูปแบบขาขึ้นโดยสมบูรณ์ (มีการยกไฮยกโลว์ไปเรื่อยๆ)
สิ่งที่ต้องระวัง
หากราคาเด้งขึ้นมาชนเส้นเทรนไลน์เทรนไลน์แล้วไม่ผ่าน ก็ยังถือว่ายังคงเป็นแนวโน้มขาลงอยู่
กลยุทธ์
ซื้อ
1.ซื้อเมื่อสามารถเบรคเทรนไลน์ได้
2.ซื้อเมื่อสามารถเบรคแนวต้านที่ 2.14 บาทได้
ขาย
1.ขายเมื่อราคาไม่สามารถเบรคแนวต้านที่ 2.14 บาทได้
2.หากซื้อเมื่อเบรคแนวต้าน แผนการขายคือเมื่อแนวต้านกลายเป็นแนวรับแล้วรับไม่อยู่
ฺBTC ใกล้สิ้นสุดตลาดหมีแล้วหรือยัง *ในวันที่ 7 กุมภา และ 7 เมษา ในภาวะตลาดหมี MACD-Histogram ทำจุดตํ่าที่ตื้นกว่าเดิมมาก แสดงถึง Bullish Divergence (ภาวะกระทิง) นี่เป็นสัญญาณซื้อเมื่อ MACD-H ทำจุดตํ่าครั้งที่สองที่เป็นลบน้อยกว่า (ลูกศรสีเหลือง)
- เมื่อวานนี้ การตัดกันของเส้น EMA 26, 13 กำลังสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนเทรนในระยะสั้น ราคามีโอกาสไปถึง $11,000
- จากการเก็บของในโซนสีเหลืองครั้งที่แล้วในช่วงราคา 6,800-6,000 ผมได้ขายไปแล้ว 50% และอีก 50% เมื่อราคาวิืงชนเส้น MA200 ผมยังคงบอกคำเดิมว่าถ้าราคายังไม่พ้น $12,000 ก็บอกไม่ได้ว่าตลาดได้เปลี่ยนเทรนอย่างสมบูรณ์แล้ว
* หลังจากนี้ให้ระวังการทำ Double Top ของราคาใน Time frame 4 H
Thai Coconut Public Company Limited (COCOCO) ในกรอบเวลา 1D🔍 การวิเคราะห์แนวโน้ม
แนวโน้มขาลงในระยะสั้น
กราฟอยู่ใน ช่องขาลง (Descending Channel) ซึ่งยังคงเป็นแนวโน้มขาลง
ราคาปัจจุบันอยู่ที่ 9.90 THB และกำลังทดสอบแนวรับบริเวณ 0.618 Fibonacci Retracement (ประมาณ 9.65-9.70 THB )
หากหลุดต่ำกว่านี้ อาจลงไปที่แนวรับ 0.786 Fibonacci Retracement (บริเวณ 8.50-8.65 THB )
มีโซน Gap Support อยู่ที่ประมาณ 8.50-8.80 THB ซึ่งอาจเป็นจุดพักตัว
📈 Indicator Analysis
MACD แสดงสัญญาณ Bearish (ขาลง) แต่หากเกิด Divergence อาจมีโอกาสกลับตัว
Volume Profile แสดงโซนที่มีการซื้อขายหนาแน่นที่ 9.50-9.80 THB หากราคาหลุดต่ำกว่านี้อาจเกิดแรงขายเพิ่มขึ้น
📌 แนวต้านสำคัญ
แนวต้านแรกอยู่ที่ 10.30-10.50 THB (Fib 0.5)
แนวต้านบนของช่องขาลง อยู่ที่ 11.50-12.00 THB
เป้าหมายถัดไปหากทะลุแนวต้านหลักคือ 14.10 THB
🔮 สรุปแนวโน้ม
✅ หากราคาสามารถ ยืนเหนือ 9.65-9.70 THB ได้ มีโอกาสเกิดการรีบาวด์ไปทดสอบแนวต้าน
❌ หากหลุดต่ำกว่า 9.65 THB มีโอกาสลงไปแนวรับถัดไปที่ 8.50-8.80 THB
🛑 ความเสี่ยง
หากแนวรับปัจจุบันถูกทะลุลงไป อาจมีแรงขายกดดันเพิ่ม
ตลาดโดยรวมและปัจจัยพื้นฐานของบริษัท อาจมีผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของราคา
NLแม้กราฟราคาจะทำฐานต่ำลงเรื่อยๆ แต่หากดูภาพใหญ่จะเห็นว่ามีการยกตัวของ Stochastic RSI และ MACD เป็นสัญญาณ Bullish Divergence จะเกิดเมื่อตลาดหุ้น หรือหลักทรัพย์นั้นๆอยู่ในขาลง และ มีโอกาสเข้าสู่ทิศทางกลับตัว กล่าวคือ ปัจจุบันทราบว่าบริษัทได้มีการรับงานใหม่หลายโครงการแต่ยังไม่ได้ประกาศเนื่องจากต้องการประกาศรวมกันหลายๆงานซึ่งเร็วๆนี้คงมีการประกาศแจ้งอย่างเป็นทางการ ซึ่งอาจเป็นตัวทริกเกอร์ (Trigger) ให้ราคาดีดกลับตัวได้
BTC/USD Elliott Wave 04-02-2025 ถ้าไม่หลุด 87,000 ยังมีความหวัง📊 วิเคราะห์ Bitcoin (BTC/USD) ตาม Elliott Wave
จากกราฟ BTC ที่ Tae ส่งมาใน Timeframe 1D, 4H, 1W และ 1M เราสามารถวิเคราะห์โครงสร้างของ Elliott Wave ได้ดังนี้:
🔍 1. BTC กำลังอยู่ใน Wave อะไร?
จากการดูโครงสร้างของ BTC ใน Timeframe ใหญ่ (1W, 1M):
✅ BTC กำลังอยู่ในคลื่นใหญ่ (Cycle) ของ Wave 5 ของ Elliott Wave
✅ ตอนนี้ราคาอยู่ใกล้แนวต้านสำคัญ และอาจกำลังสร้าง Sub-Wave (i)-(ii)-(iii)-(iv)-(v) ของ Wave 5
✅ ถ้า BTC หลุดแนวต้านไปได้ มีโอกาสขึ้นต่อไปที่ 120,000 - 150,000 USD
✅ ถ้า BTC ถูก Reject ลงมา อาจเป็น Wave 4 ขยายตัวก่อนขึ้นต่อ
📌 2. โครงสร้างปัจจุบันใน Timeframe ต่างๆ
🔹 1D & 4H (Short-Term)
BTC กำลังพักฐานและอาจเป็น Wave 4 ของ Sub-Wave 5
ต้องระวังการปรับฐานก่อนขึ้นต่อ (Sideway หรือ Retracement)
🔹 1W & 1M (Long-Term)
โครงสร้างเป็น Impulse Wave 5
ราคากำลังเข้าใกล้ แนวต้านของ Channel ขาขึ้น
ถ้าทะลุ 110,000 - 120,000 USD ได้ อาจเห็น BTC ไป 150,000 USD
📈 3. แนวโน้ม Wave ต่อไป
✅ กรณี Bullish (ขึ้นต่อ)
ถ้า BTC ยืนเหนือ 100,000 - 105,000 USD
อาจสร้าง Wave (iii) ของ Wave 5
เป้าหมายการขึ้นต่อไปที่ 120,000 - 150,000 USD
❌ กรณี Bearish (พักฐานก่อนขึ้น)
ถ้า BTC ไม่สามารถทะลุ 105,000 - 110,000 USD ได้
อาจจะพักฐานเป็น Wave 4 ก่อนขึ้นต่อ
แนวรับที่ต้องจับตา: 85,000 - 90,000 USD (Fib 38.2%)
🔹 สรุป
📊 BTC/USD อยู่ใน Wave 5 ของ Elliott Wave ใหญ่
✅ ถ้าทะลุแนวต้าน → อาจไป 120,000 - 150,000 USD
❌ ถ้าถูก Reject → อาจพักตัวที่ 85,000 - 90,000 USD ก่อนขึ้นต่อ
💡 กลยุทธ์
🔹 ถ้า BTC ยืนเหนือ 100,000-105,000 ได้ → Follow Trend ไปที่ 120,000+
🔹 ถ้า BTC หลุดต่ำกว่า 95,000 → รอดูแนวรับ 85,000 - 90,000 ก่อนเข้าซื้อ
🔥 สรุปคือ BTC ยังอยู่ในโซน Bullish แต่ต้องดูแนวต้าน 105,000 - 110,000 ว่าจะผ่านได้ไหม! 🚀
-----------------------
มีโอกาสเป็น Wave 5 ขยายตัวได้ไหม?
การพิจารณาว่า BTC/USD อาจเป็น Wave 5 Extension (5 ขยาย) หรือไม่นั้น ต้องดูเงื่อนไขของ Elliott Wave และพฤติกรรมของราคาในปัจจุบัน โดยมีจุดสำคัญที่ต้องสังเกต
🔍 1. เงื่อนไขของ Wave 5 ขยาย (Extended Wave 5)
Wave 5 สามารถขยายตัวได้ หากมีเงื่อนไขดังนี้: ✅ Wave 3 ไม่ใช่คลื่นที่ยาวที่สุด (Wave 3 สามารถยาวได้ แต่ถ้า Wave 5 ขยาย Wave 3 ต้องไม่ยาวเกินไป)
✅ Wave 5 ทะลุเป้าหมาย Fib 161.8% ของ Wave 1-3
✅ มี Volume สูงมากในช่วงปลาย Wave 5 (Blow-off Top)
✅ มีแรงซื้อจากสถาบัน นักลงทุนรายใหญ่ (FOMO Buying)
📌 2. วิเคราะห์ BTC ตอนนี้
🔹 โครงสร้างปัจจุบันบ่งชี้ถึง Wave 5 Extension หรือไม่?
📌 Wave 3 ยาวแล้ว แต่ยังไม่สุดโต่ง
BTC ทำ Wave 3 ยาวกว่า Wave 1 แล้ว ซึ่งเป็นสัญญาณว่าต้องระวังว่า Wave 5 อาจไม่ขยาย
อย่างไรก็ตาม ถ้า BTC สามารถเบรกแนวต้านที่ 110,000 - 120,000 USD ได้ อาจเป็น Wave 5 ที่ขยายตัว
📌 Volume ยังไม่เข้าสูงสุด
ถ้าเป็น Wave 5 ขยาย ต้องมี Volume พุ่งแรงในช่วงปลาย (Blow-off Top)
ตอนนี้ยังไม่เห็น Volume พีคสูงเกินปกติ แปลว่าอาจจะยังไม่เข้าสู่ Extension Mode
📌 MACD & RSI ยังไม่ Overbought สุดขีด
ถ้าเป็น Wave 5 ขยาย เราต้องเห็น RSI เข้าสู่ 90+ หรือเกิด Bearish Divergence
ตอนนี้ RSI อยู่ในเขต Overbought แต่ยังไม่ถึงขีดสุด
📌 เป้าหมาย Fibonacci สำหรับ Extension
ถ้า BTC เป็น Wave 5 ขยาย เป้าหมายจะอยู่ที่
Fib 161.8% ของ Wave 1-3 → 120,000 - 130,000 USD
Fib 261.8% ของ Wave 1-3 → 150,000 - 170,000 USD
ตอนนี้ BTC ยังไม่เบรกโซน 110,000-120,000 แปลว่า Wave 5 อาจจะยังเป็น Normal Impulse ได้
📈 3. ถ้า BTC เป็น Wave 5 ขยายจริง จะเกิดอะไรขึ้น?
✅ จะเกิด FOMO Buying → นักลงทุนแห่เข้าซื้อเพราะคิดว่าราคาจะไม่หยุดขึ้น
✅ Wave 5 อาจยาวกว่า Wave 3 หรือเป็น Diagonal Ending
✅ เกิด Parabolic Move → ขึ้นเร็วแล้วร่วงหนักในภายหลัง
✅ ถ้า BTC ขยายตัวจริง อาจไปถึง 150,000 - 170,000 USD
🔹 สรุป: มีโอกาสเป็น Wave 5 ขยายหรือไม่?
📌 ตอนนี้ BTC ยังไม่เข้าเงื่อนไขของ Wave 5 ขยาย 100% แต่มีโอกาสถ้าทะลุ 110,000 - 120,000
📌 ถ้าเกิด Blow-off Top และ Volume พุ่งสูงผิดปกติ → มีโอกาสเป็น Wave 5 Extension
📌 ถ้าหลุด 95,000 USD ก่อน → อาจจะเป็นเพียง Wave 5 ปกติ และเริ่ม Cycle Correction (ABC)
🎯 แนวทางสำหรับการเทรด 🚀 ถ้า BTC เบรก 120,000 USD → Wave 5 อาจขยาย ไป 150,000+
🔻 ถ้า BTC หลุด 95,000 USD → จบ Wave 5 และเริ่มลงเป็น ABC Correction
🔥 จับตา 110,000 - 120,000 USD ถ้า BTC ขึ้นแรงกว่านี้ อาจเป็น Wave 5 ขยาย! 🚀
Gold Market Outlook (4 กุมภาพันธ์ 2025)🌟 Gold Market Outlook (4 กุมภาพันธ์ 2025)
📊 ทองคำทะลุ $2,830 จากความตึงเครียดทางการค้าและแรงซื้อสถาบัน
🔍 วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน
ตลาดทองคำปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งในช่วงเช้านี้ โดยได้รับแรงหนุนสำคัญจากสถานการณ์การค้าระหว่างประเทศที่ตึงเครียดมากขึ้น หลังจากสหรัฐฯ ประกาศมาตรการภาษีนำเข้าใหม่ในอัตรา 25% สำหรับสินค้าจากแคนาดาและเม็กซิโก และ 10% สำหรับสินค้าจากจีน ส่งผลให้เกิดการตอบโต้จากประเทศคู่ค้า โดยเฉพาะจีนที่ประกาศจะดำเนินการร้องเรียนต่อ WTO
นอกจากนี้ ตลาดทองคำยังได้รับแรงสนับสนุนจากปัจจัยเชิงโครงสร้าง ได้แก่:
- ภาวะขาดแคลนอุปทานในตลาดลอนดอน เนื่องจากการขนส่งทองคำจำนวนมากไปยังนิวยอร์ก
- การเพิ่มสัดส่วนการถือครองทองคำของธนาคารกลางทั่วโลกเพื่อกระจายความเสี่ยงจากการถือครองดอลลาร์สหรัฐ
- แนวโน้มการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐท่ามกลางความไม่แน่นอนทางการค้า
⚡ ปัจจัยที่ต้องติดตามในสัปดาห์นี้
1. การประกาศดัชนี ISM Services PMI (6 ก.พ.)
- คาดการณ์ที่ระดับ 52.3
- มีความสำคัญต่อการคาดการณ์นโยบายการเงินของ Fed
2. ตัวเลข NFP และอัตราการว่างงาน (7 ก.พ.)
- คาดการณ์การจ้างงานที่ 180,000 ตำแหน่ง
- อัตราการว่างงานคาดที่ 3.8%
3. การประชุม BOE (8 ก.พ.)
- คาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ 5.25%
- ติดตามท่าทีต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในอนาคต
📈 การวิเคราะห์ทางเทคนิค
กรอบ H1:
- ราคาเคลื่อนตัวเหนือค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ทุกเส้น สะท้อนแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่ง
- RSI ที่ระดับ 82.3 แสดงภาวะ Overbought แต่ยังไม่มีสัญญาณการกลับตัว
- MACD Histogram เป็นบวกแต่เริ่มแผ่วลง บ่งชี้ถึงการชะลอตัวของโมเมนตัม
กรอบ M15:
- แท่งเทียนล่าสุดแสดงการทดสอบแนวต้าน $2,813
- Stochastic อยู่ในเขต Overbought แต่ยังไม่เกิด Bearish Crossover
- ปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้นในช่วงราคาปรับตัวขึ้น สนับสนุนแนวโน้มขาขึ้น
💫 แนวรับ-แนวต้าน (07:25 น.)
แนวต้าน:
- แนวต้าน 3: $2,830 (จุดสูงสุดประวัติการณ์)
- แนวต้าน 2: $2,822 (แนวต้านระยะสั้น)
- แนวต้าน 1: $2,813 (แนวต้านปัจจุบัน)
แนวรับ:
- แนวรับ 1: $2,806 (แนวรับระยะสั้น)
- แนวรับ 2: $2,800 (แนวรับจิตวิทยา)
- แนวรับ 3: $2,791 (แนวรับ Fibonacci)
🎯 กลยุทธ์การเทรด
1. การเทรดระยะสั้น:
- เข้าซื้อที่แนวรับ $2,800
- Stop Loss: $2,791
- Take Profit: $2,813 และ $2,822
2. การเทรดระยะกลาง:
- รอจังหวะย่อตัวเข้าซื้อที่ $2,791
- Stop Loss: $2,785
- Take Profit: $2,830
วิเคราะห์โดย : Beam
วิเคราะห์ S50H25 กับรูปแบบ Harmonic ที่เป็นไปได้28/01/25 ตลาดเทลงมาแรง เราจะพอได้พักหายใจกันไหมช่วงบ่าย ลองมาดู S50H25 กับการวิเคราะห์โอกาสของ Bullish Nen Star ว่าจะเกิด reversal ที่ตำแหน่ง D หรือไม่ เราสามารถพิจารณาจากปัจจัยทางเทคนิคต่อไปนี้:
1. องค์ประกอบของ Bullish Nen Star
• จุด X = 871.7
• จุด A = 885.3
• จุด B = 879
• จุด C = 888.6
• จุด D = บริเวณ 866.5 - 868.0 (ใกล้กับแนวรับสำคัญ)
โดยปกติ Bullish Nen Star เป็น Harmonic Pattern ที่บ่งบอกถึงโอกาสเกิดการกลับตัวขาขึ้นเมื่อราคาเข้าใกล้โซน D และมีปัจจัยสนับสนุนอื่น ๆ
________________________________________
2. ปัจจัยสนับสนุนการกลับตัว (Reversal Confirmation)
(a) แนวรับและโซนราคา
✅ จุด D อยู่ใกล้แนวรับสำคัญ S1 Day 869.2, S1 Month 873.0, และ S1 Ext Day 866.5
✅ มีแนวรับโซนสีเขียว ซึ่งอาจเป็น Demand Zone ที่ช่วยดันราคากลับขึ้นมา
✅ Volume Profile แสดงให้เห็นว่ามีแรงซื้อบางส่วนที่บริเวณนี้
(b) Fibonacci Retracement & Extension
✅ จากการดูโครงสร้างของ Nen Star พบว่าจุด D มักจะอยู่บริเวณ 88.6% - 113% Fibonacci Extension ของ XA
✅ หากจุด D อยู่ใกล้โซน Fibonacci Retracement 78.6% - 88.6% ของขาขึ้นก่อนหน้า จะเพิ่มโอกาสการกลับตัว
(c) Price Action
✅ มีรูปแบบแท่งเทียนที่บ่งบอกถึงการหยุดตก (อาจมี Pin Bar / Bullish Engulfing)
✅ หากมี bullish divergence กับ RSI หรือ MACD จะเพิ่มโอกาสการกลับตัว
________________________________________
3. ปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้การกลับตัวล้มเหลว
❌ หากราคา ปิดต่ำกว่า 866.5 อย่างชัดเจน การกลับตัวอาจล้มเหลว
❌ หากมีแรงขายต่อเนื่องและไม่มี bullish confirmation อาจทำให้หลุดแนวรับ
❌ หากตลาดอยู่ในแนวโน้มขาลงแรง อาจต้องระวัง false breakout
________________________________________
4. คำนวณโอกาสที่ Bullish Nen Star จะเกิดการกลับตัว
จากปัจจัยทั้งหมด โอกาสของการกลับตัวที่จุด D อยู่ที่ประมาณ 65-75% ขึ้นอยู่กับว่าแท่งเทียนต่อไปจะเกิด bullish confirmation หรือไม่
📌 คำแนะนำ: ควรรอดูการปิดแท่งเทียน M30 หรือ H1 ถ้าราคายืนเหนือ 869 และมีแท่งกลับตัวชัดเจน อาจเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับการกลับตัวของ Bullish Nen Star
________________________________________
วิเคราะห์แนวโน้มบ่าย 28/01/25 S50H25 และแผนการเทรด Short vs Long
จากการวิเคราะห์ Bullish Nen Star ที่เกิดขึ้น พบว่ามีโอกาส 65-75% ที่ราคาจะกลับตัวที่ จุด D (บริเวณ 866.5 - 868.0) หากมีแรงซื้อเข้ามาสนับสนุน โดยมีแนวต้านสำคัญที่อาจเป็นเป้าหมายของการดีดตัวขึ้น
________________________________________
🔹 เป้าหมายการดีดตัว (Long Trade)
📌 ระยะสั้น (1-3 วัน) สำหรับ Day Trade
ลำดับ แนวต้านเป้าหมาย เงื่อนไขสำคัญ
1 869.2 (S1 Day) ต้องยืนเหนือ 868 อย่างมั่นคง
2 873.0 (S1 Month) ต้องมี Bullish Confirmation
3 875 - 878 (Pivot Zone) ต้องมี Volume สนับสนุน และแรงซื้อต่อเนื่อง
📌 จุดเข้า Long: หากราคา ยืนเหนือ 868 และมีแท่งเทียนกลับตัว
📌 จุดตัดขาดทุน (SL): ต่ำกว่า 866.5
📌 จุดทำกำไร (TP): แบ่งขายที่ 873, 875, และ 878
________________________________________
🔻 แผนการเทรดฝั่ง Short
หากราคาหลุด 866.5 อาจเกิดการขายต่อเนื่อง และโอกาสกลับตัวจะลดลง
📌 เงื่อนไขเปิด Short
✅ หากราคาหลุด 866.5 อย่างชัดเจน
✅ หากดีดขึ้นไปที่ 878 แต่ไม่สามารถทะลุได้ และมีแท่งเทียนกลับตัวลง
📌 เป้าหมายสำหรับ Short
ลำดับ แนวรับเป้าหมาย เงื่อนไขสำคัญ
1 863 - 860 หากราคาหลุด 866.5
2 855 - 852 หากมีแรงขายต่อเนื่อง
📌 จุดเข้า Short: หากราคา ยืนต่ำกว่า 866.5 หรือไม่สามารถทะลุ 878 ได้
📌 จุดตัดขาดทุน (SL): สูงกว่า 878.5
📌 จุดทำกำไร (TP): แบ่งทำกำไรที่ 863 และ 855
________________________________________
📊 สรุปแผนการเทรด (Long vs Short)
✅ Long (Buy):
• เข้าเมื่อราคา ยืนเหนือ 868
• เป้าหมาย 873 - 878
• SL ต่ำกว่า 866.5
❌ Short (Sell):
• เข้าเมื่อราคา หลุด 866.5 หรือ ไม่สามารถทะลุ 878 ได้
• เป้าหมาย 860 - 855
• SL สูงกว่า 878.5
💡 เน้นการบริหารความเสี่ยง และรอสัญญาณยืนยันก่อนเข้าเทรด! 🔥
วิเคราะห์กราฟ S50H25 (SET50 Futures มีนาคม 2025)จากภาพคำอธิบายเกี่ยวกับ TD Aggressive Countdown #13 และวิธีนำไปใช้งานจริงในบริบทของการวิเคราะห์กราฟ S50H25 (SET50 Futures มีนาคม 2025):
________________________________________
TD Sequential และ TD Aggressive Countdown
TD Sequential เป็นระบบที่พัฒนาโดย Thomas DeMark ใช้เพื่อตรวจจับจุดอ่อนของแนวโน้ม (Trend Exhaustion) และหาจุดกลับตัวที่มีโอกาสสูง โดยมีสององค์ประกอบหลัก:
1. TD Setup: การนับ 1 ถึง 9 ของแท่งเทียนที่เป็นไปตามเงื่อนไข
2. TD Countdown: การนับต่อเนื่อง 1 ถึง 13 (เช่น TD Aggressive Countdown) เพื่อยืนยันว่าจุดสิ้นสุดของแนวโน้มกำลังจะมาถึง
________________________________________
ความหมายของ TD Aggressive Countdown #13
• TD Countdown จะเริ่มหลังจาก TD Setup สมบูรณ์ (ถึงแท่งที่ 9) และนับไปจนถึง #13
• สัญญาณ #13 บ่งชี้ว่า:
o แนวโน้มขาลง (ในกรณีนี้) อาจใกล้สิ้นสุด
o โอกาสของการกลับตัว (Reversal) สูงขึ้นในระยะสั้นถึงระยะกลาง
• ใช้เป็นสัญญาณเตือนให้เตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงของตลาด
________________________________________
วิธีใช้งาน TD Aggressive Countdown #13
1. การอ่านกราฟและการระบุสัญญาณ
• ดูสัญญาณ TD Countdown #13 ในกราฟ:
o ต้องครบ 13 แท่งเทียน (ตามเงื่อนไขการนับ TD Sequential)
o แท่งที่ 13 ควรเกิดในบริเวณที่ราคามีแนวรับ (Support) หรือมีปริมาณการซื้อขายที่สูงผิดปกติ (Volume Spike)
• ตัวอย่างในภาพ:
o สัญญาณ TD Countdown #13 เกิดในช่วงขาลง (Downtrend) และใกล้ระดับแนวรับ (ประมาณ 871-875 จุด)
2. การยืนยันสัญญาณ
สัญญาณ TD Countdown #13 เพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ ต้องใช้เครื่องมืออื่นช่วยยืนยัน เช่น:
• รูปแบบแท่งเทียน (Candlestick Patterns):
o ดูว่าหลังจากแท่งที่ #13 มีรูปแบบที่แสดงการกลับตัวหรือไม่ เช่น Hammer, Doji, หรือ Bullish Engulfing
• เส้นแนวรับ-แนวต้าน (Support & Resistance):
o ราคาต้องไม่หลุดแนวรับสำคัญ เช่น บริเวณ 870-875 จุด
• Indicator เพิ่มเติม:
o ใช้ RSI หรือ Stochastic เพื่อตรวจสอบว่าราคาอยู่ในภาวะ Oversold หรือไม่
o MACD อาจใช้ดู Divergence ระหว่างราคาและโมเมนตัม
3. กลยุทธ์การเทรด
• กรณีขาลงอ่อนแรงและคาดว่าจะกลับตัวขึ้น:
o รอการยืนยันการกลับตัว (Confirm Reversal) เช่น การ Breakout แนวต้านหรือแท่งเทียนบวกแข็งแรง
o วางคำสั่งซื้อ (Long Position) เมื่อราคายืนเหนือแนวต้าน เช่น 880-885 จุด
o ตั้ง Stop Loss ต่ำกว่าแนวรับ เช่น 865-870 จุด เพื่อจัดการความเสี่ยง
• กรณียังไม่มีการยืนยันการกลับตัว:
o รอการเคลื่อนไหวของราคาเพิ่มเติม อย่ารีบเข้าซื้อจนกว่าจะมีสัญญาณชัดเจน
• กรณีแนวโน้มขาลงยังแข็งแรง:
o หากราคาหลุดแนวรับสำคัญ ให้พิจารณาเปิดคำสั่งขาย (Short Position) โดยวางเป้าหมายที่แนวรับถัดไป เช่น 850 จุด
________________________________________
ตัวอย่างแผนการเทรด (Trade Plan)
แผนสำหรับ Long Position (คาดว่าจะกลับตัวขึ้น):
1. จุดเข้า (Entry Point):
o ซื้อเมื่อราคายืนเหนือแนวต้าน เช่น 880-885 จุด
o ดูการยืนยันจากแท่งเทียนหรือ Indicator
2. จุดหยุดขาดทุน (Stop Loss):
o วาง Stop Loss ไว้ที่ 865-870 จุด
o ควรต่ำกว่าระดับแนวรับสำคัญ
3. จุดทำกำไร (Take Profit):
o เป้าหมายแรก: 895-900 จุด
o เป้าหมายถัดไป: 910-920 จุด (หากมีแรงซื้อเพิ่ม)
แผนสำหรับ Short Position (แนวโน้มขาลงต่อ):
1. จุดเข้า (Entry Point):
o หากราคาหลุด 870 จุด ให้เปิดคำสั่งขาย
o ยืนยันด้วยปริมาณขาย (Volume) ที่เพิ่มขึ้น
2. จุดหยุดขาดทุน (Stop Loss):
o วาง Stop Loss ไว้ที่ 875-880 จุด
o ป้องกันหากราคากลับขึ้นแรง
3. จุดทำกำไร (Take Profit):
o เป้าหมายแรก: 850-860 จุด
o เป้าหมายถัดไป: 830-840 จุด (หากขาลงยังแข็งแรง)
________________________________________
ข้อควรระวัง
• TD Countdown เป็นเครื่องมือที่เน้นความน่าจะเป็น ไม่ได้การันตีผลลัพธ์
• ต้องใช้ควบคู่กับการวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่น ๆ
• ระวังภาวะตลาดที่มีข่าวสำคัญหรือปัจจัยพื้นฐานที่อาจเปลี่ยนแนวโน้ม
________________________________________
สรุป
สัญญาณ TD Aggressive Countdown #13 ในกราฟ S50H25 ชี้ว่าขาลงอาจใกล้สิ้นสุด ให้เตรียมพร้อมสำหรับการกลับตัวหรือความผันผวนที่สูงขึ้น การยืนยันจากแนวรับ/แนวต้านและ Indicator เพิ่มเติมเป็นสิ่งสำคัญก่อนตัดสินใจเทรดครับ