ReutersReuters

DJIA:ตลาดหุ้นนิวยอร์ค:ดาวโจนส์,S&P ร่วงลงแต่ Nasdaq ขยับขึ้น

นิวยอร์ค--18 ม.ค.--รอยเตอร์

  • ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ของตลาดหุ้นสหรัฐปิดดิ่งลงกว่า 1% ในวันอังคาร โดยได้รับแรงกดดันจากผลกำไรที่อ่อนแอของธนาคารโกลด์แมน แซคส์ อย่างไรก็ดี ดัชนี Nasdaq ปิดปรับขึ้นในวันอังคาร โดยได้รับแรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นบริษัทเทสลา ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า โดยหุ้นเทสลาพุ่งขึ้น 7.43% หลังจากธนาคารไชน่า เมอร์แชนท์ แบงก์ อินเตอร์เนชันแนล (CMBI) รายงานว่า การปรับลดราคารถยนต์เทสลาในช่วงต้นเดือนนี้มีส่วนช่วยให้ยอดขายปลีกรถยนต์ของเทสลาในจีนพุ่งขึ้นสู่ 12,654 คันต่อวันในวันที่ 9-15 ม.ค. โดยทะยานขึ้น 76% จากช่วงเดียวกันในปี 2022 ทั้งนี้ หุ้นเทสลาถือเป็นหุ้นที่พุ่งขึ้นมากที่สุดทั้งในดัชนี S&P 500 และ Nasdaq 100 และมีส่วนช่วยให้ดัชนีหุ้นเติบโตปิดตลาดในแดนบวกด้วย อย่างไรก็ดี ดัชนีหุ้นคุณค่าร่วงลง และดัชนีหุ้นบริษัทขนาดเล็กของสหรัฐปิดขยับลง 0.15% ในขณะที่นักลงทุนกังวลกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย

  • ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดดิ่งลง 1.14% สู่ 33,910.85, ดัชนี S&P 500 ปิดปรับลง 0.20% สู่ 3,990.97 และดัชนี Nasdaq ปิดขยับขึ้น 0.14% สู่ 11,095.11 โดยดัชนี Nasdaq ปิดตลาดวันอังคารในแดนบวกเป็นวันที่ 7 ติดต่อกัน ซึ่งถือว่ายาวนานที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย. 2021 ทั้งนี้ นักวิเคราะห์คาดการณ์ในตอนนี้ว่า ผลกำไรของบริษัทในดัชนี S&P 500 อาจร่วงลง 2.4% ในไตรมาสสี่ หลังจากที่เคยคาดการณ์ในช่วงต้นปีนี้ว่าอาจปรับลดลงเพียง 1.6%

  • หุ้นธนาคารโกลด์แมน แซคส์ กรุ๊ป อิงค์ดิ่งลง 6.44% หลังจากโกลด์แมนรายงานว่า ผลกำไรรายไตรมาสดิ่งลงอย่างรุนแรงเกินคาด และหุ้นโกลด์แมนถือเป็นหุ้นที่ถ่วงดัชนีดาวโจนส์ลงมากที่สุดในวันอังคาร โดยการดิ่งลงของหุ้นโกลด์แมนในครั้งนี้ถือเป็นการดิ่งลงครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 1 ปีด้วย นอกจากนี้ ดัชนีดาวโจนส์ก็ได้รับแรงกดดันเพิ่มเติมจากหุ้นแทรเวลเลอร์ส คอส อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทประกันที่ดิ่งลง 4.60% หลังจากแทรเวลเลอร์สคาดการณ์ผลกำไรไตรมาส 4 ที่ต่ำเกินคาด ทั้งนี้ หุ้นธนาคารมอร์แกน สแตนเลย์พุ่งขึ้น 5.91% หลังจากมอร์แกน สแตนเลย์รายงานผลกำไรไตรมาส 4 ที่สูงเกินคาด เนื่องจากธุรกิจเทรดดิงของมอร์แกน สแตนเลย์ได้รับแรงหนุนจากความผันผวนในตลาดการเงิน

  • ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขานิวยอร์ครายงานว่า ดัชนี "เอ็มไพร์ สเตท" สำหรับภาวะธุรกิจปัจจุบันในรัฐนิวยอร์คดิ่งลงจาก -11.2 ในเดือนธ.ค. สู่ -32.9 ในเดือนม.ค. ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ในโพลล์รอยเตอร์ที่ -9.0 และถือเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่กลางปี 2020 เป็นต้นมา ในขณะที่ยอดสั่งซื้อดิ่งลง และการจ้างงานหยุดชะงัก โดยรายงานตัวเลขนี้บ่งชี้ว่า กิจกรรมภาคโรงงานทั่วสหรัฐยังคงอยู่ในภาวะอ่อนแอ และปัจจัยนี้ทำให้นักลงทุนกังวลกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ในช่วงนี้นักลงทุนในตลาดเงินคาดว่า มีโอกาส 91.6% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ 4.50-4.75% ในการประชุมวันที่ 31 ม.ค.-1 ก.พ. และมีโอกาสเพียง 8.4% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% สู่ 4.75-5.00% ในการประชุมวันที่ 31 ม.ค.-1 ก.พ. โดยอัตราดอกเบี้ยในสหรัฐอาจจะขึ้นไปแตะจุดสูงสุดที่ระดับราว 4.9% ในเดือนมิ.ย. และจะปรับลดลงในช่วงหลังจากนั้น

  • หุ้นบริษัทจีนที่จดทะเบียนในตลาดสหรัฐดิ่งลงในวันอังคาร โดยหุ้นเจดีดอทคอมรูดลง 5.72% และหุ้นไป่ตู้ดิ่งลง 6.02% หลังจากจีนรายงานว่า จีดีพีเพิ่มขึ้น 2.9% ในไตรมาส 4 จากช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งชะลอตัวจาก 3.9% ในไตรมาส 3 โดยอัตราการเติบโตที่ 2.9% นี้ถือเป็นหนึ่งในอัตราการเติบโตที่ต่ำที่สุดในรอบเกือบ 50 ปี--จบ--

(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)

((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;

เข้าสู่ระบบหรือสร้างบัญชีฟรีถาวรเพื่ออ่านข่าวนี้