ReutersReuters

DJIA:ตลาดหุ้นนิวยอร์ค:หุ้นสหรัฐพุ่งขึ้นตามหุ้นกลุ่มค้าปลีก,พลังงาน

นิวยอร์ค--23 พ.ย.--รอยเตอร์

  • ตลาดหุ้นสหรัฐปิดพุ่งขึ้นในวันอังคาร ในขณะที่หุ้นบริษัทเบสท์ บายซึ่งทำธุรกิจค้าปลีกพุ่งขึ้น 12.78% และถือเป็นหุ้นที่ทะยานขึ้นมากที่สุดในดัชนี S&P 500 หลังจากเบสท์ บายคาดการณ์ว่า ยอดขายตลอดทั้งปีอาจปรับลดลงในระดับที่ไม่มากเท่ากับที่เคยประกาศไว้ และเบสท์ บายแสดงความมั่นใจว่า การปรับเพิ่มมาตรการลดราคาสินค้าและโปรโมชั่นต่าง ๆ จะช่วยดึงดูดลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น โดยการคาดการณ์ยอดขายของบริษัทเบสท์ บายช่วยลดความกังวลของนักลงทุนในเรื่องที่ว่า อัตราเงินเฟ้อที่ระดับสูงจะสร้างความเสียหายต่อฤดูการช้อปปิ้งช่วงปลายปีของสหรัฐ และการพุ่งขึ้นของหุ้นเบสท์ บายก็มีส่วนช่วยหนุนให้ดัชนีหุ้นกลุ่มค้าปลีกของสหรัฐทะยานขึ้น 1.21% ในวันอังคารด้วย ทั้งนี้ ตลาดหุ้นได้รับแรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงานด้วยเช่นกัน โดยดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้น 3.18% ในวันอังคาร หลังจากร่วงลงมานาน 2 วันติดต่อกัน ในขณะที่ราคาน้ำมันดิบดีดขึ้นในวันอังคาร โดยได้รับแรงหนุนจากข่าวที่ว่า ซาอุดิอาระเบียประกาศว่า กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันและชาติพันธมิตร (โอเปกพลัส) จะยังคงดำเนินมาตรการปรับลดการผลิตน้ำมันต่อไป

  • ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดพุ่งขึ้น 1.18% สู่ 34,098.1, ดัชนี S&P 500 ปิดทะยานขึ้น 1.36% สู่ 4,003.58 ซึ่งถือเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 12 ก.ย. และดัชนี Nasdaq ปิดพุ่งขึ้น 1.36% สู่ 11,174.41 ทั้งนี้ การร่วงลงของดอลลาร์สหรัฐและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐมีส่วนช่วยกระตุ้นให้นักลงทุนต้องการซื้อสินทรัพย์เสี่ยงในวันอังคารด้วย โดยดัชนีดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินอยู่ที่ 107.09 ในช่วงท้ายวันอังคาร โดยร่วงลงจาก 107.77 ในช่วงท้ายวันจันทร์ ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีดิ่งลงสู่ 3.758% ในช่วงท้ายวันอังคาร จาก 3.827% ในช่วงท้ายวันจันทร์

  • หุ้นดอลลาร์ ทรีซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกสินค้าราคาถูกดิ่งลง 7.79% และถือเป็นหุ้นที่รูดลงมากที่สุดในดัชนี S&P 500 หลังจากดอลลาร์ ทรีปรับลดคาดการณ์ผลกำไรตลอดทั้งปีลงเป็นครั้งที่สอง ทั้งนี้ นายฌอน ครูซ จากบริษัททีดี อเมริเทรดกล่าวว่า "ผู้บริโภคที่มีรายได้สูงไม่ได้รับผลกระทบจากต้นทุนที่ปรับเพิ่มขึ้นในระดับหนึ่ง ส่วนผู้บริโภคที่มีรายได้ต่ำจะได้รับผลกระทบมากกว่า และด้วยเหตุนี้บริษัทที่ขายสินค้าราคาถูกอย่างเช่นดอลลาร์ ทรีจึงไม่มีความสามารถมากนักที่จะผลักภาระต้นทุนที่สูงขึ้นไปให้แก่ผู้บริโภค ดังนั้นบริษัทกลุ่มนี้จึงได้รับความเสียหายเป็นอย่างมาก"

  • นักลงทุนพยายามคาดการณ์แนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในช่วงนี้ โดยนางลอเรตตา เมสเตอร์ ประธานเฟดสาขาคลีฟแลนด์กล่าวย้ำในวันอังคารว่า การทำให้อัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลงยังคงถือเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับเฟด หลังจากนางเมสเตอร์เพิ่งกล่าวในวันจันทร์ว่า เธอสนับสนุนให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในขนาดที่เล็กลงในเดือนธ.ค. ทางด้านนางเอสเธอร์ จอร์จ ประธานเฟดสาขาแคนซัส ซิตี้กล่าวว่า เฟดอาจจะมีความจำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสู่ระดับที่สูงขึ้น และคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับดังกล่าวเป็นเวลานานยิ่งขึ้น เพื่อจะได้ปรับลดอุปสงค์ของผู้บริโภค และทำให้อัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลง ทั้งนี้ นักลงทุนรอดูรายงานการประชุมเฟดประจำวันที่ 1-2 พ.ย. ซึ่งจะได้รับการเปิดเผยออกมาในวันพุธนี้ โดยนักลงทุนจะพิจารณารายงานการประชุมดังกล่าวเพื่อมองหาแนวโน้มอัตราดอกเบี้ย

  • หุ้นวอลกรีนส์ บูทส์ อัลไลอันซ์ ซึ่งเป็นผู้จัดจำหน่ายยา และเป็นส่วนหนึ่งของดัชนีดาวโจนส์ พุ่งขึ้น 2.96% หลังจากบริษัทโคเวน แอนด์ โคปรับขึ้นอันดับความน่าลงทุนของหุ้นตัวนี้ ทั้งนี้ หุ้นแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดทะยานขึ้น 14.66% หลังจากสกาย นิวส์รายงานว่า ตระกูลเกลเซอร์ซึ่งเป็นเจ้าของสโมสรฟุตบอลแห่งนี้ กำลังพิจารณาทางเลือกทางการเงินต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงการขายสโมสร--จบ--

(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)

((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;

เข้าสู่ระบบหรือสร้างบัญชีฟรีถาวรเพื่ออ่านข่าวนี้