ReutersReuters

DJIA:ตลาดหุ้นนิวยอร์ค:ดาวโจนส์,S&P ปรับลงแต่ Nasdaq ปรับขึ้น

นิวยอร์ค--5 ส.ค.--รอยเตอร์

  • ตลาดหุ้นสหรัฐปิดไร้ทิศทางในวันพฤหัสบดี ในขณะที่หุ้นกลุ่มเติบโตสูงพุ่งขึ้น และปัจจัยบวกดังกล่าวช่วยบดบังการดิ่งลงของหุ้นกลุ่มพลังงาน ทางด้านนักลงทุนรอดูตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนก.ค.ที่กระทรวงแรงงานสหรัฐจะรายงานออกมาในวันศุกร์นี้ เพื่อใช้ในการประเมินว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปอย่างรวดเร็วเพียงใด โดยนักลงทุนคาดว่า การจ้างงานนอกภาคเกษตรในสหรัฐอาจปรับขึ้น 250,000 ตำแหน่งในเดือนก.ค. หลังจากปรับขึ้น 372,000 ตำแหน่งในเดือนมิ.ย. ทั้งนี้ ดัชนี Nasdaq ปรับขึ้นแตะจุดสูงสุดรอบ 3 เดือนในวันพฤหัสบดี โดยได้รับแรงหนุนจากหุ้นอะเมซอนดอทคอมที่พุ่งขึ้น 2.19% และหุ้นแอดวานซ์ ไมโคร ดีไวเซส (AMD) ที่ทะยานขึ้น 5.93% อย่างไรก็ดี ดัชนี S&P 500 ปรับลง โดยได้รับแรงกดดันจากการดิ่งลงของหุ้นกลุ่มพลังงาน ซึ่งรวมถึงหุ้นบริษัทเอ็กซอน โมบิล และหุ้นเชฟรอน คอร์ป ในขณะที่ความกังวลเรื่องการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกกดดันราคาน้ำมันให้ดิ่งลงแตะจุดต่ำสุดนับตั้งแต่ช่วงก่อนเกิดสงครามยูเครนในเดือนก.พ. ทางด้านอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐร่วงลงในวันพฤหัสบดี หลังจากธนาคารกลางอังกฤษ (บีโออี) ประกาศเตือนว่า เศรษฐกิจอังกฤษอาจจะเข้าสู่ภาวะถดถอยเป็นเวลายาวนาน

  • ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดปรับลง 0.26% สู่ 32,726.82, ดัชนี S&P 500 ปิดขยับลง 0.08% สู่ 4,151.94 และดัชนี Nasdaq ปิดบวกขึ้น 0.41% สู่ 12,720.58 ทั้งนี้ ดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้นมาแล้วราว 14% จากจุดต่ำสุดของช่วงกลางเดือนมิ.ย. แต่ดัชนียังคงดิ่งลงมาแล้วราว 13% จากช่วงต้นปีนี้ โดยได้รับแรงกดดันจากปัจจัยหลายประการด้วยกัน ซึ่งรวมถึงสงครามยูเครน, การพุ่งขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ, ยอดผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่ทะยานขึ้นในจีน และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างแข็งกร้าว

  • นายหยุง-หยู หม่า หัวหน้านักยุทธศาสตร์การลงทุนของบริษัทบีเอ็มโอ เวลธ์ แมเนจเมนท์กล่าวว่า "นักลงทุนกำลังมองหาทิศทางของตลาด หลังจากตลาดหุ้นเพิ่งดีดขึ้นอย่างแข็งแกร่ง หลังจากที่ตลาดหุ้นเคยได้รับแรงกดดันจากการคาดการณ์ในทางลบเป็นอย่างมากในช่วงก่อนหน้านั้น โดยขณะนี้มีสัญญาณหลายอันที่บ่งชี้ว่า อัตราเงินเฟ้อได้แตะจุดสูงสุดไปแล้ว และคำถามขณะนี้ก็คือว่า อัตราเงินเฟ้อจะชะลอตัวลงอย่างรวดเร็วเพียงใด และองค์ประกอบที่มีความหนืดในภาวะเงินเฟ้อจะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูงกว่าที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ต้องการต่อไปหรือไม่"

  • นางลอเรตตา เมสเตอร์ ประธานเฟดสาขาคลีฟแลนด์กล่าวในวันพฤหัสบดีว่า เฟดควรจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสู่ระดับสูงกว่า 4% เพื่อจะได้ช่วยทำให้อัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลง และเฟดต้องตั้งเป้าที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปตลอดช่วงครึ่งแรกของปี 2023 โดยเธอได้กล่าวย้ำอีกด้วยว่า อัตราเงินเฟ้อจำเป็นจะต้องชะลอตัวลงเข้าใกล้ระดับเป้าหมายที่เฟดตั้งไว้ที่ 2% เป็นเวลานานหลายเดือน ก่อนที่ผู้กำหนดนโยบายจะสามารถชะลอการคุมเข้มนโยบายการเงินได้ โดยนางเมสเตอร์ถือเป็นสมาชิกผู้มีสิทธิออกเสียงในคณะกรรมการกำหนดนโยบายของเฟด (FOMC) ในปีนี้ด้วย

  • หุ้นคอยน์เบส โกลบัล อิงค์ ซึ่งทำธุรกิจตลาดสกุลเงินคริปโตพุ่งขึ้น 10% หลังจากคอยน์เบสประกาศจะร่วมงานกับบริษัทแบล็คร็อค เพื่อที่ลูกค้าสถาบันของแบล็คร็อคจะสามารถเข้าถึงบริการการซื้อขายสกุลเงินคริปโตและบริการรับฝากสินทรัพย์ ทั้งนี้ หุ้นเมตา แพลตฟอร์มส์ ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของเฟซบุ๊กทะยานขึ้น 1.0% หลังากเฟซบุ๊กประกาศว่าจะเสนอขายหุ้นกู้เป็นครั้งแรก--จบ--

(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)

((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;

เข้าสู่ระบบหรือสร้างบัญชีฟรีถาวรเพื่ออ่านข่าวนี้