หลักการดู Order Block ที่ “แม่นยำและถูกต้อง” #4 น้าจะจะอธิบาย “Order Block (OB)” แบบละเอียด ลึก และใช้งานได้จริง โดยเน้นแนวทางที่ นักเทรดสาย Smart Money (SMC) ใช้กันจริงจัง ไม่ใช่แค่เห็นแท่งเทียนใหญ่แล้วเรียกว่า OB เฉย ๆ
💡 Order Block (OB) คืออะไร?
Order Block คือ “แท่งเทียนสุดท้ายก่อนที่ราคาจะกลับทิศ” ซึ่งเป็นจุดที่สถาบันการเงิน (Smart Money) วางคำสั่งซื้อหรือขายจำนวนมาก เพื่อเปิด Position ขนาดใหญ่ โดยมีจุดประสงค์หลักคือ
สร้าง liquidity ด้วยการหลอก (Manipulation)
วาง Buy/Sell limit หรือเปิด Position ใหม่
เป็นต้นกำเนิดของ BOS (Break of Structure)
🧩 ประเภทของ Order Block (OB)
ประเภท ความหมาย สังเกตอย่างไร
Bullish Order Block (Buy OB) จุดที่ราคาเคยกลับตัวขึ้นอย่างแรง ดูแท่งเทียนแดง (ก่อนขึ้น) แล้วราคาวิ่งขึ้นทะลุโครงสร้าง
Bearish Order Block (Sell OB) จุดที่ราคาเคยกลับตัวลงอย่างแรง ดูแท่งเทียนเขียว (ก่อนลง) แล้วราคาวิ่งลงทะลุโครงสร้าง
Mitigation Block จุดที่ OB ถูก revisit เพื่อเติมคำสั่งค้าง มักมี reaction รอบ 2
Continuation OB ใช้ในเทรนด์เพื่อหาจุดเติมไม้ เกิดในเทรนด์ชัดเจน หลัง BOS
✅ หลักการดู Order Block ที่ “แม่นยำและถูกต้อง”
1. มี Break of Structure (BOS) ยืนยัน
OB ที่ดี ต้อง เกิดก่อนที่ราคาจะ ทะลุ High หรือ Low สำคัญ
เช่น ก่อนเกิด BOS ขาขึ้น ต้องมี OB ที่ราคาพุ่งจากมัน
2. แท่งสุดท้ายก่อนเปลี่ยนทิศ
Bullish OB = แท่งแดงสุดท้ายก่อนราคาพุ่งทะลุ High
Bearish OB = แท่งเขียวสุดท้ายก่อนราคาดิ่งทะลุ Low
3. ต้องมี Liquidity ถูกกวาดก่อนหน้า (Sweep)
เช่น มี Equal Low/High หรือ Liquidity Pool ด้านบน/ล่าง ก่อนเกิด OB
4. ใช้ TF ใหญ่เป็นตัวกรอง
OB ที่น่าเชื่อถือควรดูจาก TF ใหญ่ก่อน (1H, 4H, Daily) แล้วค่อยหาจุดเข้าใน TF ย่อย (15m, 5m)
🛠️ วิธีการใช้งาน Order Block ในแผนเทรด
✅ ขั้นตอนการใช้ OB เพื่อหา Entry
วิเคราะห์ Trend และโครงสร้าง (Structure) ก่อน
หาจุด BOS ล่าสุด
มองหา OB ที่ทำให้เกิด BOS นั้น
รอให้ราคาย่อลงกลับมาแตะ OB
หาสัญญาณ Confirm เช่น:
Rejection Candlestick
RSI Divergence
MACD Crossover
CHoCH ใน TF ย่อย
🎯 เทคนิคเสริมความแม่น
เทคนิค รายละเอียด
ใช้ Fibonacci 0.5 - 0.79 OB ที่ดีมักอยู่ในโซน Discount (ซื้อ) / Premium (ขาย)
Confirm ด้วย CHoCH ใช้ใน TF ย่อย เช่น 5M เพื่อคอนเฟิร์มการกลับตัว
ดู Volume Volume พุ่งใน OB แปลว่า Smart Money เข้ามาจริง
ดูการ Revisit OB OB ที่ยังไม่ถูก revisit มีโอกาสทำงานสูง
📌 ตัวอย่างการใช้งานจริง
TF 1H: เห็น BOS ขาขึ้น → หา Bullish OB แท่งแดงสุดท้ายก่อนราคาพุ่ง
รอราคาย่อลงมาแตะ OB ใน TF 15M
ดูสัญญาณ CHoCH / RSI / MACD เพื่อ Confirm
เข้า Buy พร้อม SL ใต้ OB
วาง TP ที่ Liquidity High ถัดไป
#บันทึกเทรดน้า #roongee #playbooksmc
แผนการเทรด
Liquidity Grab จุดที่ “รายใหญ่” ใช้หลอกกิน Stop Loss #3Liquidity Grab จุดที่ “รายใหญ่” ใช้หลอกกิน Stop Loss
เรื่อง Liquidity Grab เป็นหัวใจของแนวคิด Smart Money Concept เพราะมันคือจุดที่ “รายใหญ่” ใช้หลอกกิน Stop Loss ของรายย่อย แล้วพาราคากลับทิศไปอีกทางหนึ่ง
Liquidity Grab คืออะไร
“การดูดสภาพคล่องที่อยู่หลัง High/Low ก่อนเปลี่ยนทิศทาง”
ความหมายง่ายๆ:
รายใหญ่รู้ว่า “มี Stop Loss ของเทรดเดอร์รายย่อยซ่อนอยู่หลัง High หรือ Low สำคัญ”
เค้าจึง “พาราคาไปแตะเพื่อกิน SL เหล่านั้น (สร้างสภาพคล่อง)”
แล้วพาราคากลับทิศทันที = กลายเป็น “กับดักเทรดเดอร์”
ตัวอย่างง่ายๆ
สถานการณ์:
ราคาอยู่ในกรอบแนวนอน (Sideway)
มี High ซ้ำๆ อยู่ที่ 1.2000 หลายรอบ
เทรดเดอร์เปิด Sell แล้ววาง SL เหนือ High
เกิดอะไรขึ้น:
รายใหญ่ดันราคา ทะลุ 1.2000 → SL รายย่อยโดน
ราคากลับตัวทันที → เกิดแท่ง Rejection
นี่คือ “Liquidity Grab” → แล้วราคากลับลงแรง (False Breakout)
ประเภทของ Liquidity Grab
ประเภท รายละเอียด ใช้ทำอะไร
Buy-side Liquidity SL ของฝั่ง Sell (อยู่เหนือ High) ใช้สำหรับดันราคาขึ้นไปกินก่อนกลับลง
Sell-side Liquidity SL ของฝั่ง Buy (อยู่ใต้ Low) ใช้สำหรับทุบราคาลงไปกินก่อนกลับขึ้น
จุดที่มักมี Liquidity ให้ Grab
เหนือ High / ใต้ Low ที่เด่นชัด
→ ยิ่งชัด = ยิ่งมี SL ซ่อนอยู่เยอะ
ใกล้ OB / FVG / Supply-Demand Zone
ก่อนข่าวแรงๆ หรือ Breakout สำคัญ
สัญญาณว่าเกิด Liquidity Grab แล้ว
มีแท่งไส้ยาว (Wick) ทะลุ High/Low แล้วปิดกลับ
มีแท่ง Rejection หรือ Engulfing หลัง Grab
บางกรณีมี Divergence ช่วยยืนยัน
วิธีเทรดจาก Liquidity Grab
1. รอราคาเข้า “POI + มี Liquidity อยู่ใกล้ๆ”
(เช่น Order Block ที่มี High/Low อยู่ข้างบน/ล่าง)
2. พอราคาทะลุ High/Low → อย่ารีบเทรด
ให้รอแท่ง Rejection หรือ CHoCH ใน TF เล็ก
3. เข้าเทรดตรง BOS หรือแท่งยืนยัน
ตั้ง SL หลังไส้แท่งที่ Grab ไปแล้ว
ตัวอย่างกลยุทธ์ SMC + Liquidity Grab
Timeframe การใช้ Liquidity Grab
1H ใช้ดูแนวรับ/ต้านที่มี SL ซ่อนอยู่
15M เฝ้าดูโซน POI ใกล้จุด SL
5M / 1M รอแท่ง Rejection / BOS เพื่อเข้าออเดอร์
ภาพจำแบบง่าย
“ราคามักจะไปกิน SL ก่อน ถึงจะไปจริง”
#บันทึกเทรดน้า #roongee #playbooksmc
คู่มือการใช้งาน SMC (Smart Money Concept) POI Order Block FVG วันนี้น้าจะอธิบาย 3 องค์ประกอบสำคัญในแนวคิด SMC (Smart Money Concept) ได้แก่ POI, Order Block, FVG แบบละเอียด พร้อมตัวอย่างการใช้งานในการเทรดจริง โดยเฉพาะสำหรับ Timeframe 1H, 15M, 5M ที่คนส่วนใหญ่ใช้งานนะครับ
1. POI (Point of Interest) คืออะไร
POI คือ “จุดที่น่าสนใจ” ซึ่งคาดว่าราคาจะมีปฏิกิริยาเมื่อกลับมาแตะ ใช้เป็น โซนสำหรับรอเทรด (Entry Zone)
ตัวอย่างของ POI ที่นิยมใช้:
Order Block (OB) – บริเวณแท่งเทียนสุดท้ายก่อนราคาพุ่งขึ้น/ลง
FVG (Fair Value Gap) – ช่องว่างที่เกิดจากแรงซื้อ/ขายเร็ว
Liquidity Zone – จุดที่มี Stop Loss ของเทรดเดอร์รายย่อยซ่อนอยู่
Supply/Demand Zone – พื้นฐานโซนดีมานด์/ซัพพลายแบบคลาสสิก
2. Order Block (OB) คืออะไร
Order Block คือ “แท่งเทียนสุดท้ายของฝั่งตรงข้าม” ก่อนที่เกิดการเคลื่อนไหวอย่างแรง เช่น:
ในขาขึ้น → มองหา แท่งแดงสุดท้ายก่อนเกิดแท่งเขียวใหญ่
ในขาลง → มองหา แท่งเขียวสุดท้ายก่อนเกิดแท่งแดงใหญ่
วิธีใช้งาน:
ใช้ Order Block เป็น จุดรอราคาเข้ามา Re-test เพื่อเข้าออเดอร์
ใช้ร่วมกับ Break of Structure (BOS) เพื่อเพิ่มความแม่นยำ
วาง SL ไว้ใต้ OB (ในขาขึ้น) หรือเหนือ OB (ในขาลง)
เทคนิคพิเศษ:
ใช้ OB บน TF ใหญ่ (1H, 15M) เพื่อเป็น POI
ยืนยันด้วย Candlestick + Indicator ใน TF เล็ก (5M, 1M)
3. FVG (Fair Value Gap) คืออะไร
FVG คือ “ช่องว่างของราคาที่เกิดจากความไม่สมดุล” ระหว่างแรงซื้อกับแรงขาย
รูปแบบ:
เกิดเมื่อแท่งเทียน 3 แท่งเรียงกัน โดย:
แท่งที่ 2 มี Body ใหญ่
ไม่เติมเต็ม Wick ของแท่งที่ 1 หรือแท่งที่ 3
ช่องว่างนี้ = โซน FVG
วิธีใช้งาน:
ใช้เป็น POI สำหรับรอการ Refill (ราคามักย้อนกลับมาเติม)
วาง Limit Order ได้ หรือรอแท่งเทียนยืนยันเมื่อราคากลับมา
ตัวอย่างการวางแผนเทรดด้วย OB + FVG
สมมุติ:
TF 1H = Uptrend (มี BOS)
พบ Order Block อยู่บริเวณ 1,800
มี FVG ระหว่างราคา 1,790 - 1,795
แผน:
วาง POI บริเวณ OB (1,800) + FVG (1,790–1,795)
รอราคาลงมาทดสอบ
เข้าเทรดเมื่อมีแท่งเทียน Rejection บน TF 5M หรือ 1M
SL ใต้ OB (1,785) / TP ที่ Liquidity Zone ถัดไป (1,820)
สรุปง่ายๆ แบบใช้จริง
-------------------------
องค์ประกอบ ความหมาย ใช้ยังไง
POI จุดที่คาดว่าราคาจะกลับตัว ใช้เป็น "โซนเฝ้า" เพื่อหา Entry
Order Block แท่งสุดท้ายก่อนเกิด impulsive move ใช้เป็น POI ที่แม่นยำมาก
FVG ช่องว่างที่เกิดจากแรงซื้อ/ขาย ใช้คาดจุดที่ราคาจะมาเติมเต็ม
Mar-a-Lago Accord คืออะไร? (ในเชิงเปรียบเทียบ)จุดเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจโลกสมัยใหม่”
คือประโยคที่มีพลังมาก และสามารถเชื่อมโยงกับ แนวคิดการเทรดแบบโครงสร้างตลาด (Market Structure) ได้อย่างลึกซึ้งเลยครับ
1. Mar-a-Lago Accord คืออะไร? (ในเชิงเปรียบเทียบ)
แม้ไม่มีข้อตกลงที่เรียกชื่อนี้อย่างเป็นทางการในเศรษฐกิจโลกจริง
แต่คำว่า "Accord" (สนธิสัญญา)
"Mar-a-Lago"
🏛️ Mar-a-Lago คืออะไร?
Mar-a-Lago คือรีสอร์ตหรูริมทะเลในรัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา
เดิมเป็นคฤหาสน์ส่วนตัวของเศรษฐี
ปัจจุบันเป็นของ โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump)
ใช้เป็นที่พัก, สังสรรค์, และ จัดการประชุมลับ/นโยบาย ระหว่างสมัยที่ทรัมป์เป็นประธานาธิบดี
👉 หลายครั้งมีการประชุมระดับสูงกับจีน, ซาอุ, และผู้นำอื่น ๆ โดยไม่ผ่านช่องทางทางการของรัฐ
🔥 แล้วเกี่ยวอะไรกับเศรษฐกิจโลก?
Mar-a-Lago กลายเป็น สัญลักษณ์ของ “อำนาจเงียบ” ที่มีผลกระทบต่อ:
ถูกใช้ในบางวงการเพื่อเปรียบเทียบถึง จุดพลิกผันครั้งใหญ่ของนโยบายโลก
เช่นเดียวกับ “Plaza Accord” ที่เคยเปลี่ยนค่าเงินดอลลาร์ในปี 1985
🔥 แล้วเกี่ยวอะไรกับเศรษฐกิจโลก?
Mar-a-Lago กลายเป็น สัญลักษณ์ของ “อำนาจเงียบ” ที่มีผลกระทบต่อ:
ด้าน ตัวอย่างผลกระทบ
เศรษฐกิจ นโยบายภาษีนำเข้า (เช่น Trade War กับจีน) ถูกหารือที่นั่น
การเงิน ทรัมป์เคยประกาศลดภาษีให้ธุรกิจใหญ่ → ส่งผลต่อ USD และตลาดหุ้น
การเมืองโลก หารือกับประธานาธิบดีจีน (สี จิ้นผิง) ที่นั่น → จุดเริ่ม Trade War
กลยุทธ์พลังงาน ข้อตกลงกับซาอุฯ และ OPEC เรื่องน้ำมัน
ตีความในโลกการเทรด: Mar-a-Lago Accord = CHoCH ครั้งใหญ่ของโลก
เมื่อรายใหญ่ในระบบเศรษฐกิจ (เช่น FED, จีน, สหรัฐฯ, BRICS)
เปลี่ยนพฤติกรรม → โลกก็เปลี่ยนแนวโน้ม
เช่นเดียวกับ CHoCH (Change of Character) → ราคาหยุดแนวโน้มเดิม แล้วเริ่มสร้างโครงสร้างใหม่
2. เชื่อมโยงกับแนวคิดการเทรด: Market Structure / SMC
โลกเศรษฐกิจ → โครงสร้างราคา (SMC)
เปลี่ยนนโยบาย → เปลี่ยนเทรนด์ → CHoCH
เกิดพันธมิตรใหม่ (เช่น BRICS)→ ราคา Break โครงสร้างเดิม (BOS)
มี Liquidity Event เช่น เงินเฟ้อ/สงคราม → เหมือน Rejection หรือ Liquidity Grab
ประเทศใหญ่ถอนทุนจาก USD → เทียบเท่ากับ Bearish Engulfing
3. สอนผ่านแนวเทรด (SMC Style)
ถ้า Mar-a-Lago Accord = CHoCH
แล้วเราควรเทรดยังไง?
✅ กลยุทธ์ “เทรดเมื่อโลกเปลี่ยนโครงสร้าง”
Step 1: หาจุด CHoCH ใน TF ใหญ่ (Macro Trend)
→ ข่าวที่เปลี่ยนวิธีคิดของรายใหญ่ เช่น ดอลลาร์ถูกลดการใช้ในสัญญาระหว่างประเทศ
Step 2: รอโซน OB/FVG ที่โลกจะ “กลับมาเทสต์”
→ เช่น ดอลลาร์กลับมาแข็งชั่วคราว (Pullback) ก่อนจะดิ่งตามโครงสร้างใหม่
Step 3: เข้าไม้ตาม BOS ใหม่
→ มองหาการยืนยันใน TF ย่อย เช่น BOS ย่อย หรือ Break Liquidity
Step 4: วาง SL/TP ตาม Liquidity Zone
→ เป้าหมายคือจุดที่ทุนจะไหลไปหาสินทรัพย์ใหม่ เช่นทอง, บิทคอยน์, พลังงาน
4. สรุปบทเรียนเทรดจาก Mar-a-Lago Accord
แนวคิด ในตลาด
สนธิสัญญาเปลี่ยนโลก CHoCH เปลี่ยนโครงสร้างตลาด
รายใหญ่เปลี่ยน Mindset BOS ยืนยันแนวโน้มใหม่
ประเทศสะสมทองคำแทนดอลลาร์ เหมือนราคากลับเข้า OB เพื่อเปลี่ยนมือ
คนทั่วไปยังไม่รู้ทัน เหมือน รายย่อย ติด SL ก่อนกลับทิศ
✅ Mindset ผู้เทรดเชิงลึก
“อย่ารอดูตอนโลกเปลี่ยนไปแล้ว
ให้สังเกตตั้งแต่ตอนที่พฤติกรรมรายใหญ่เริ่มเปลี่ยน”
"เราจะไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้นที่ Mar-a-Lago…
แต่เราจะเห็นพฤติกรรมของรายใหญ่สะท้อนในราคาเสมอ"
"กราฟไม่โกหก – ถ้าอ่านโครงสร้างออก คุณจะรู้ว่าโลกกำลังเปลี่ยน โดยไม่ต้องรอข่าว"
ช่วยกดติดตามด้วยนะ ผมจะมาวิเคราห์กราฟ ด้วยระบบSMC
#smcลึกแต่เข้าใจง่าย #เทรดแบบไม่โดนแดก #oakmastertrader
Price Action Toolkit (PAT) - รายละเอียด⚙️Price Action Toolkit (PAT) – อินดิเคเตอร์ที่ช่วยให้การเทรด-วิเคราะห์กราฟ-วางแผนการเทรดของคุณให้ง่ายขึ้น
📕อ่านรายละเอียดฟังชันก์ทั้งหมดพร้อมรูปภาพประกอบได้ที่ : www.facebook.com
🖥วีดีโอแนะนำเบื้องต้น (ตัวอย่างเมื่อเปิดใช้งาน-ฟังชันก์การทำงาน) : www.facebook.com
📍 ฟังก์ชันหลัก (Main Function)
• Market Structure - สร้างโครงสร้างราคาที่ช่วยระบุแนวโน้มอัตโนมัติบอกจุดเปลี่ยนสำคัญของตลาด
• Breakout - สัญญาณเปลี่ยนโครงสร้างตลาด
• Volumetric Order Block - บ่งบอกโซนสำคัญในตลาดอัตโนมัติพร้อมบอกปริมาณการซื้อขาย
• Demand & Supply - สร้าง Supply/Demand อัตโนมัติ ช่วยพิจารณาการเข้าเทรดอย่างมีประสิทธิภาพ
• Bullish FVG / Bearish FVG - สร้างช่องว่างของราคา (FVG) อัตโนมัติที่เกิดจากแรงซื้อ/ขายอย่างรวดเร็ว
• HTF Candlestick - ดูภาพรวมตลาดจากแท่งเทียนไทม์เฟรมที่สูงกว่า ช่วยให้คุณเห็นจุดสำคัญและแนวโน้มชัดเจนขึ้น
• Auto-Trendline - วาดเส้นเทรนด์ไลน์อัตโนมัติ ช่วยให้คุณเห็นแนวรับ-แนวต้านได้ชัดเจนและทันที
• Screener - เครื่องมือดูภาพรวมหลายไทม์เฟรม เพื่อประเมินสภาวะตลาดอย่างรวดเร็วในตารางเดียว
✨ ฟังก์ชันเพิ่มเติม (Additional Function)
• Swing High/Low - บอกจุดสูง-ต่ำของราคาอย่างชัดเจน ช่วยให้คุณติดตามโครงสร้างแนวโน้มได้แม่นยำยิ่งขึ้น
• Support&Resistant (Pivot-Point) - คำนวณแนวรับแนวต้านอัตโนมัติด้วย Pivot Point เพื่อวางแผนการเข้าออกอย่างแม่นยำ
• Reversal-Candle / Reversal-Signal - สัญญาณกลับตัวที่มาจาก Strength Oscillator ร่วมกับรูปแบบแท่งเทียน (Candle Pattern) Rejection
• EMA-1, EMA-2, EMA-3, EMA-4 - พร้อม EMA 4 เส้นปรับแต่งค่าต่างๆได้อย่างอิสระ เพื่อวิเคราะห์แนวโน้มของตลาดได้ดียิ่งขึ้น
⏰พร้อมระบบแจ้งเตือนแบบ All-In-One เมื่อราคาถึงโซนต่างๆ
• Market Structure Created (เมื่อเกิดโครงสร้างตลาดเมื่อปิดแท่งเทียน)
• Hit Orderblock Zone (เมื่อราคาถึงโซนสำคัญ เรียลไทม์ไม่ต้องรอปิดแท่งเทียน)
• Hit Demand&Supply Zone (เมื่อราคาถึงโซนสำคัญ เรียลไทม์ไม่ต้องรอปิดแท่งเทียน)
💰 ราคาพิเศษ
• รายเดือน: 590 บาท
• รายปี: 5490 บาท (ประหยัด 20%!)
• ใช้งานถาวร: 9999 บาท
💳 รับผ่อน-ชำระเงินด้วยบัตรเครดิต (Visa-Mastercard)
👨🏻💻มือใหม่หรือมือโปรก็ใช้งานได้
⚒ สามารถตั้งค่าฟังชันก์ต่างๆได้อย่างอิสระ (เบื้องต้นสามารถใช้ค่าที่ตั้งค่าไว้ได้เลยพร้อมใช้งานทันทีหลังจากเปิดใช้งาน)
✅เป็นบัญชีธรรมดาสามารถใช้งานได้และใช้ฟังชันก์ได้ครบ
📲สามารถใช้ได้ทั้งคอมพิวเตอร์ มือถือ ผ่าน Tradingview
⭐️พร้อมมีการอัพเดท Indicator อย่างสม่ำเสมอเพื่อให้เข้ากับผู้ใช้งานมากขึ้น
⏰ใช้งานได้ทุกไทม์เฟรม ทุกตลาด ทุกคู่เหรียญ
🖥วีดีโอแนะนำเบื้องต้น (ตัวอย่างเมื่อเปิดใช้งาน-ฟังชันก์การทำงาน) : www.facebook.com
📕คู่มือการใช้งานอินดิเคเตอร์ Price Action Toolkits สามารถลองอ่านก่อนตัดสินใจซื้อได้เลยครับ :
🔗 www.facebook.com
⚙️ อ่านรายละเอียดการติดตั้งได้ที่ : 🔗 www.facebook.com
🌟รีวิวจากลูกค้าที่ใช้ Indicator ของเรา
www.facebook.com
✨ภาพตัวอย่างเมื่อเปิดเพียงฟังชันก์หลัก
✨ภาพตัวอย่างเมื่อเปิดเพียงฟังชันก์เสริม
✨ภาพตัวอย่างเมื่อเปิดใช้งานทุกฟังชันก์
📕รายละเอียดของอินดิเคเตอร์อธิบายด้วยรูปภาพ
Retest Trading แบบไหนให้ได้กำไรRetest Trading แบบไหนให้ได้กำไร
👽👽 เคยเป็นกันบ้างมั้ยกับการอ่านกราฟทางเทคนิคแล้วโดนกราฟหลอก ไปทางไหนก็ผิดทาง รีเทสแล้ว รีเทสอีก ก็ยังผิดทาง หรือเราจะอ่านกราฟผิดกันนะ มาครับ บทความนี้แอดมีคำตอบให้
กลไกของกลยุทธ์การ Retest
กลไกของกลยุทธ์ Retest มักมาควบคู่กันพร้อมกับ Breakout เสมอ หลักและใจความสำคัญ ที่จำเป็นในการเทรดก็คือการอ่านแนวรับแนวต้านให้ออก และจำเป็นต้องใช้เครื่องมือตัวบ่งชี้ทางเทคนิคช่วยด้วยอีกทางหนึ่ง
สิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึงก็คือ
1. เมื่อกราฟราคาพุ่งขึ้นสูงสุดหรือลงต่ำสุด และทะลุแนวรับหรือแนวต้าน โดยมีปริมาณ Volumn การซื้อขายที่สูงหรือต่ำตามมาติดๆ
- การ Breakout ในแนวรับหรือแนวต้าน จะเกิดขึ้นเป็นอันดับแรก
- อันดับต่อมาที่ต้องเฝ้าระวังคือ การย่อ..........หรือการเปลี่ยนทิศทางกระทันหันเพื่อหลอกล่อเม่าน้อยๆให้มาติดกับ
- ถัดจากการล่อเม่าเสร็จสิ้น ราคาจึงจะวิ่งกลับไป Retest ณ จุด จุด เดิมอีกครั้ง
- จุดนี้แหละ ที่เราต้องเฝ้าระวัง เพื่อหาจุดเข้าสวยๆเข้าฮะ
รูปแบบแท่งเทียนที่พบได้บ่อยที่สุดในกลยุทธ์ Break and Retest ได้แก่
1. Wedge Pattern แสดงถึงเส้นแนวโน้มที่เปลี่ยนแปลงภายในช่วงราคาที่แคบลงเรื่อยๆ
2. Consolidation Pattern บ่งบอกถึงช่วงราคาในแนวนอน หรือกราฟไซด์เวย์ สำหรับการเล่นสั้น ทั้งขาขึ้น และขาลง ซึ่งยังหาแนวโน้มที่ชัดเจนไม่ได้แต่คันมือ จัดเบาๆไปก่อน
3.Triangles Pattern รูปแบบสามเหลี่ยม คือการทะลุกรอบสามเหลี่ยมออกไป เป็นไปได้ทั้งขาขึ้นและขาลง
4. The Channel Patterns แสดงถึงเส้นแนวโน้มเส้นขนาน ซึ่งเป็นไปได้ทั้งไซด์เวย์สลับฟันปลา และไซด์เวย์อัพ ไซด์เวย์ดาว์น โดยราคาจะวิ่งไต่กรอบเส้นเทรนไลน์ไปเรื่อยๆ เป็นเส้นคู่ขนาน
**** นอกจากรูปแบบแท่งเทียนแล้ว อินดิเคเตอร์ที่จัดว่าเด็ดและช่วยในการวิเคราะห์ทางเทคนิค ได้แก่ MACD หรือ RSI เพื่อช่วยยืนยันทิศทางของแนวโน้มที่เราคาดการณ์ไว้
👽👽👽เป็นอย่างไรกันบ้างครับ แอดหวังว่าบทความนี้จะช่วยให้เราอ่านกราฟได้ดี อ่านกราฟได้เก่งมากขึ้นนะครับ จำไว้เสมอว่ากราฟมีขึ้นแล้วก็มีลง ไม่ต้องไปเครียดกะมันหมั่นึกฝนและเพิ่มเติมความรู้อย่างสม่ำเสมอ รับรอง เทรดยังไงก็รอดครับ และที่สำคัญอย่าลืม MM กันด้วยนะครับ วางแผนดีมีชัยไปกว่าครึ่งแน่นอนครับ แอดเอาใจช่วยสู้ๆ
EP34XAUUSD:Technical TREND LINE.only หารอบเทรดในแต่ละรอบตามแผนครับหารอบเทรดต้นรอบปลายรอบในแต่ละรอบเป็นรอบๆไป
เมื่อเรามีรอบหลักชัดเจนต่อไปหารอบรอง ส่วนรอบย่อย รอบอย่างย่อย รอบยิ๊บย่อย เราจะไปเทรดที่ไทม์เฟรมเล็กกว่าต่อไป
TF8H ที่ผมวาดและวิเคราะห์ไว้ตั้งแต่ Wed10Jun'24 04:00 ครับ
เงื่อนไขการอดทนง่ายมากเมื่อปรากฏรอบเทรดชัดเจนให้วาดรอบครอบแล้วทำการเทรดในรอบ เทรดสั้นในรอบ เทรดยาว buy on dip กล่าวคือ รอบหลัก รอบรอง รอบย่อย รอบอย่างย่อย รอบยิ๊บย่อย ของหน้าเทรดที่เราได้วางแผนไว้นั้นเองครับ
แค่นี้เราก็แบ่งรอบการเทรดได้อย่างชัดเจนครับ
ที่ผมแชร์เป็นไอเดียการวาดแผน หา รอบเทรดไม่ว่าจะเป็น ปลายรอบหรือต้นรอบ อย่างง่ายโดยใช้แค่เส้นเทรนมาวาดๆแล้วก็จะได้ต้นรอบเพื่อเข้าซื้อและปลายรอบไว้ทำกำไร
ในไทม์เฟร์ม5นาทีง่ายเลย สังเกตุกลางรอบครับเส้น LOC
***LOC ย่อมาจาก Line of Control คือ เส้นศูยน์กลางตามแนวของราคาที่มีปริมาณการซื้อขายมากที่สุด***
ในวันที่ 12-13-14-15 ของไทม์เฟร์ม15นาที ราคาได้ลงมาที่จุด POC ลงทะลุแล้ว Jump Up ทันที
สรุปว่า : การวาดเทรนอย่างง่ายได้ผล 1000% 1000000% โดยเป็นพื้นฐานของการวิเคราะห์นั้นเอง
"รอบหลัก รอบรอง รอบย่อย รอบอย่างย่อย รอบยิ๊บย่อย" คิดคำใช้เรียกง่ายๆอย่างง้่ยให้ให้เข้าใจง่ายๆขึ้นมาเองไม่มีในตำราใหนนะเพื่อว่าเทรดไปอมยิ้มไป 55555
EP34XAUUSD:Technical TREND LINE.only หารอบเทรดในแต่ละรอบตามแผนครับหารอบเทรดต้นรอบปลายรอบในแต่ละรอบเป็นรอบๆไป
เมื่อเรามีรอบหลักชัดเจนต่อไปหารอบรอง ส่วนรอบย่อย รอบอย่างย่อย รอบยิ๊บย่อย เราจะไปเทรดที่ไทม์เฟรมเล็กกว่าต่อไป
TF8H ที่ผมวาดและวิเคราะห์ไว้ตั้งแต่ Wed10Jun'24 04:00 ครับ
เงื่อนไขการอดทนง่ายมากเมื่อปรากฏรอบเทรดชัดเจนให้วาดรอบครอบแล้วทำการเทรดในรอบ เทรดสั้นในรอบ เทรดยาว buy on dip กล่าวคือ รอบหลัก รอบรอง รอบย่อย รอบอย่างย่อย รอบยิ๊บย่อย ของหน้าเทรดที่เราได้วางแผนไว้นั้นเองครับ
แค่นี้เราก็แบ่งรอบการเทรดได้อย่างชัดเจนครับ
ที่ผมแชร์เป็นไอเดียการวาดแผน หา รอบเทรดไม่ว่าจะเป็น ปลายรอบหรือต้นรอบ อย่างง่ายโดยใช้แค่เส้นเทรนมาวาดๆแล้วก็จะได้ต้นรอบเพื่อเข้าซื้อและปลายรอบไว้ทำกำไร
ในไทม์เฟร์ม5นาทีง่ายเลย สังเกตุกลางรอบครับเส้น LOC
***LOC ย่อมาจาก Line of Control คือ เส้นศูยน์กลางตามแนวของราคาที่มีปริมาณการซื้อขายมากที่สุด***
ในวันที่ 12-13-14-15 ของไทม์เฟร์ม15นาที ราคาได้ลงมาที่จุด POC ลงทะลุแล้ว Jump Up ทันที
สรุปว่า : การวาดเทรนอย่างง่ายได้ผล 1000% 1000000% โดยเป็นพื้นฐานของการวิเคราะห์นั้นเอง
"รอบหลัก รอบรอง รอบย่อย รอบอย่างย่อย รอบยิ๊บย่อย" คิดคำใช้เรียกง่ายๆอย่างง้่ยให้ให้เข้าใจง่ายๆขึ้นมาเองไม่มีในตำราใหนนะเพื่อว่าเทรดไปอมยิ้มไป 55555
[แกะหุ้นเด้ง pt.2] เล่า BizModel+งบ กับ Evolution หุ้น 100 เด้ง Evolution AB ตำนานหุ้น 100 เด้ง และเป็น หุ้น 10 เด้งใน 5 ปี
.
บริษัท Evolution AB เป็นบริษัทสัญชาติสวีเดนที่ประกอบธุรกิจเว็บพนันออนไลน์ที่มีอัตราการเติบโตในระดับที่น่าประทับใจ ผู้เพียบพร้อมทั้งเรื่องการเติบโตของรายได้ ผลกำไร และอัตราส่วนทางการเงิน ที่ไม่ว่าใครมาเห็นต้องอยากได้หุ้นตัวนี้มาประดับพอร์ตการลงทุนอย่างแน่แท้
.
โดยบริษัทเองนอกจากทำอัตรากำไรในระดับที่น่าพึงพอใจแล้ว บริษัทเองก็มีกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน (CFO) และกระเงินสดอิสระ (FCF) เป็นบวกมาตลอดระยะเวลาหลายปี และมีเทรนด์ที่เป็นขาขึ้นตลอด จนกลายเป็นหุ้น 10 เด้งในระยะเวลา 5 ปี (และเป็นหุ้น 20 เด้ง เมื่อตอนที่ตลาดหุ้นทั่วโลกอยู่ ณ จุดสูงที่สุดตอนช่วงปี 2021)
.
และเราเองก็สามารถเป็นเจ้าของหุ้นนี้ได้ ผ่านการประยุกต์ใช้หลักการของคุณปีเตอร์ ลินซ์ ผ่านเพลย์บุคอย่างเล่ม One Up on Wall Street ด้วยการซื้อหุ้นที่มีค่า PEG ต่ำกว่า 1 ในการลงทุนได้ครับ
.
.
.
ทั้งหลายนี้แสดงให้เราเห็นอะไรบ้าง ก่อนอื่นผมขอพาทุกท่านมาทำความรู้จักกับอัตราส่วน PEG ที่จะเป็นผู้ช่วยในการเลือกซื้อหุ้นนี้กันก่อนครับ
.
หุ้นมี PEG ต่ำกว่า 1 เท่า เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดที่แสดงให้เราเห็นว่า “หุ้นตัวนี้มีโอกาสขึ้น” จากการ “ปรับค่า PE ใหม่ของนายตลาดสู่ระดับที่ควรจะเป็น”
.
สมการของ PEG คือ PE / EPS Growth และสมการของ PE คือ Price / EPS
.
EPS ขึ้น หากราคาเท่าเดิม PE จะต่ำลงตามสมการ , เมื่อนายตลาดเห็น PE ที่ถูกลง นายตลาดก็อาจปรับ PE กลับไปสู่จุดเดิมได้
.
เช่น เมื่อก่อนหุ้นตัวหนึ่งถูกเทรดที่ ราคา 15 บาท ที่ PE 15 เท่า และมีกำไรต่อหุ้นที่ 1 บาท (สมการ Price = PE * EPS) ต่อมาหุ้นนี้มีกำไรเติบโต 30% หรือกำไรต่อหุ้นได้เปลี่ยนเป็น 1.3 บาทต่อหุ้น (EPS ใหม่ = EPS เดิม * อัตราการเติบโต , EPS ใหม่ = 1* = 1.3 บาทต่อหุ้น )
.
ทำให้ค่า PEG ของบริษัทเทรดอยู่ที่ 15/30 = 0.5 เท่า หากหุ้นนี้เทรดอยู่ที่ราคา 15 บาทเท่าเดิม ตอนนี้ PE ของบริษัทก็จะอยู่ที่ 11.53 เท่า
.
.
.
ดังนั้นแล้ว การที่บริษัทจะกลับไปเทรดเท่าเดิมที่ PE 15 เท่าเดิมได้นั้น ราคาหุ้นจะต้องไปอยู่ที่ 19.5 บาท คิดเป็น Upside ในสัดส่วนที่เทียบเท่ากับการเติบโตของกำไร 30%
.
แต่ทั้งนี้สิ่งที่เราต้องพิจารณา คือกำไรที่ได้มานี้ “เป็นกำไรจากการดำเนินงานที่เติบโตตามธรรมชาติบริษัท” หรือไม่ เราต้องพิจารณาผ่านการอ่านรายงานผลประกอบการรายไตรมาสด้วย
.
เพราะหากบริษัทได้กำไรมาจากกิจกรรมพิเศษ (เช่นการขายที่ดินออก การได้เงินประกัน) ความสามารถในการทำซ้ำอีกครั้งก็นับว่าแทบเป็นไปไม่ได้เลย เช่น ถ้าบริษัทขายที่ดินแปลงนั้นไปแล้ว เราก็คงไม่สามารถเสกที่ดินแปลงเดิมมาขายใหม่ทุกๆ ปีได้ใช่ไหมครับ
.
ต่อมาเมื่อการทำซ้ำไม่มีแล้ว เมื่อปีหน้ามาถึงกำไรส่วนที่ได้จากกิจกรรมก่อนหน้าจะหายไป ตรงนี้จะทำให้นายตลาด “ตีมูลค่าบริษัทให้ต่ำลง” (จากการที่ EPS ลดลง) ในที่สุด
.
.
.
กลับมาที่บริษัท Evolution AB ราคาหุ้นของบริษัทเคยเทรดอยู่ในระดับที่ PEG ต่ำ 1 อยู่หลายช่วงเวลาเหมือนกันครับ โดยช่วงที่เห็นได้ชัดมากที่สุดคือตอนกลางปี 2017 จนถึงท้ายปี 2018 ต้นปี 2019 หากเราได้ซื้อหุ้นตัวนี้ในช่วงราคา 140 เหรียญ (Swedish Krona) ตอนเดือนกันยายน 2018 ซึ่งเป็นจุดซื้อที่จั่วยอดดอย ณ PEG Ratio 0.9x และทนถือเพื่อรอกำไรและราคาหุ้นบริษัทเบ่งบานตอนเดือนเมษายน 2021 ที่ราคา 1,6xx เหรียญ (Swedish Krona) คุณจะได้ผลตอบแทนกว่า 1,1xx% ทีเดียว
.
ในด้านธุรกิจ Evolution เองมีผลการดำเนินงานที่เป็นบวกและเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพจริงๆ ครับ ผ่านการเปิดแพลตฟอร์มไปในประเทศต่างๆ รวมถึงมียอดผู้ใช้บริการอย่างต่อเนื่อง ผสานกับลักษณะบริษัทเป็น Asset Light Model ซึ่งมีต้นทุนการดำเนินงานที่คงที่ ใช้สินทรัพย์ไม่หนักมากทั้งด้านบุคลากรและอุปกรณ์ มีรายได้เข้ามาไม่จำกัดแต่ต้นทุนคงที่ ทำให้รายได้ของบริษัทลงมาสู่บรรทัดล่างที่เติบโตขึ้นทุกปี ด้วยปัจจัยนี้เองจึงช่วยผลักดันให้มูลค่าของบริษัทสามารถไปได้ไกลนั่นเองครับ
.
และอีกประเด็นที่เลี่ยงไม่ได้ คือ “เทรนด์ธุรกิจ” ผู้เป็นพระเอกที่ช่วยผลักดันให้บริษัทเติบโตเหนือกว่าคู่แข่งรายอื่นๆ ในตลาดอีกด้วยโดย Evolution เป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ซึ่งรูปแบบแพลตฟอร์มออนไลน์นี้ได้มา Disrupt ธุรกิจกาสิโนแบบมีพื้นที่ตั้ง โดยจากข้อมูลบริษัทได้ระบุว่าขนาดตลาดของกาสิโนแบบมีพื้นที่มีอัตราการหดตัวแบบทบต้น (CAGR) กว่า -8.2% ตลอดปี 2017-2021 ในขณะที่ตลาดเกมแบบออนไลน์ที่บริษัทกำลังประกอบการอยู่มีอัตราการเติบโตแบบทบต้น (CAGR) ที่ 31.1%
.
ปฏิเสธไม่ได้เลยครับ ว่าท่ามกลางความแตกต่างของ 2 เทรนด์บริษัทที่ขาหนึ่งกำลังถอยลง และขาหนึ่งกำลังพุ่งทะยาน นายตลาดจึงมอบรางวัลและความคาดหวังแก่ Evolution ให้เป็นหุ้นเด้งผู้เติบโตด้วยศักดิ์และศรีเพียบพร้อมด้วยตัวเลขการเงินอันเป็นผลประจักษ์และราคาอย่างแท้จริง
.
.
.
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผมได้บอกเล่าทั้งหมดนี้ก็ไม่ได้แม่นยำ 100% ว่าสิ่งที่เขียนจะเป็นเพลย์บุคที่ต้องเกิดเหตุการณ์แบบนี้ในอนาคต สิ่งนี้อาจมีความแม่นยำเพียง 30-40% เพียงเท่านั้นครับเมื่อนำไปประยุกต์ผ่านการลงทุน
.
ทั้งนี้ขอให้พี่ๆ เพื่อนๆ พึงระลึกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องตามปกติ เพราะว่าไม่มีวิธีการลงทุนใดที่ให้ผลลัพธ์ 100% ได้ และการที่เราจะทำเงินจากตลาดหุ้นได้ไม่ได้อยู่ที่การเลือกวิธีการที่แม่นยำเพียงอย่างเดียวเท่านั้น หากแต่ประกอบไปด้วยองค์ประกอบอันหลายอย่างซึ่งก่อรูปและร่าง ผ่านบริบทและเวลาของบริษัทนั้นๆ ครับ
.
สิ่งที่เราเล่าทั้งหมด เป็นเพียงการชี้ให้เห็นภาพเท่านั้นว่าคุณสามารถนำความรู้จากหนังสือหุ้นไปทำเงินได้ครับ
[แกะหุ้นเด้ง pt.1] หาจุดซื้อรันเทรน กับ Evolution หุ้น 100 เด้ง - วีดีโอนี้พูดถึง Technical จุดซื้อ/ขาย 75% และพูดเกริ่นถึงบริษัท 25%
- บริษัท Evolution AB เป็นบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมใหม่อย่างอุตสาหกรรม pนันออนไลน์ ซึ่งมีอัตราการเติบโตของกำไรมากกว่า 2 หลักมาโดยตลอด
- นอกจากการเติบโตของกำไรแล้ว ในขาของด้านการบริหารนั้นบริษัทก็สามารถบริหารจนได้อัตรากำไรในระดับที่ดีมากๆ โดยสะท้อนมาที่ตัวเลขการเงินอย่างอัตรากำไรสุทธิ ที่บริษัทสามารถทำได้มากกว่า 30-40% ซึ่งเป็นระดับที่น้อยบริษัทจะสามารถทำได้
- กำไรจากการเทรดที่ได้แต่ละรอบสั้นนั้น สามารถทำได้มากกว่า 2x%
แต่ว่าเวลาที่หุ้นลง บริษัทจะมี Downside จาก ATH มากกว่า 30% เลย ดังนั้นแล้ว ใครซื้อแบบ FOMO อาจต้องระวังจุดนี้
- Breakout รับมือได้ดีที่สุดกับบริษัทจำพวกที่กำไรโตตลอดเวลา แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นควรวางจุด Stoploss ให้ดีๆ เพราะว่าเวลาโดนคืนสามารถโดนคืนได้ในระดับ 3x% ได้ และหากเข้าช้าไปควรกำหนด Postition Size ที่เพียงพอต่อการถือทนด้วยครับ
-------------------------------
สำหรับเนื้อหาจะมี 2 พาร์ทด้วยกัน โดยพาร์ทนี้จะเน้นในเรื่อง Technical อย่างเดียวนะครับ จากนั้นอีกพาร์ทจะเป็นเรื่องของการเงินและธุรกิจล้วนๆ
และโพสนี้ผมแบ่งเป็น 3 ส่วน คือหลักการเลือกหุ้นลงทุน ตามมาด้วยจุดซื้อที่พอทำได้ และสิ่งที่ได้เรียนรู้จากหุ้นนี้/บริษัทนี้
---------------------------------
1. หลักการเลือกหุ้น
สำหรับระบบคัดเลือกหุ้นของบริษัทนี้ โดยหลักแล้วมาจากการเลือกบบริษัทที่มีกำไรเติบโตก่อนครับ โดยถ้ากำไรเติบโตเป็น 2 หลัก เหนือกว่าตัวเลข GDP สักราว 5 เท่า นายตลาดจะชอบบริษัทแบบนี้มาก
นอกจากกำไรเติบโตแล้ว การใช้ตัวกรองอย่าง PEG Raio มาช่วย จะทำให้เราเลือกหุ้นได้คมมากขึ้นครับ โดย PEG Ratio ที่ต่ำกว่า 1 จะเป็นตัวบอกว่าบริษัทนี้มีความน่าสนใจ
-------------------------------------
2. จุดซื้อหุ้นตัวนี้
สำหรับผมแล้ว ผมให้เรื่องของ Value Line ครับ โดยในกรณีนี้บริษัท Evolution ถูกเทรดอยู่ที่เส้นแดงมาโดยตลอดเลย หากเราตั้งสมมติฐานว่าซื้อหุ้นในจุดที่บริษัทมีราคาต่ำกว่าเส้น และนำมาขายบริเวณที่อยู่เหนือเส้น Value Line ก็นับเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่น่าสนใจ
ต่อมาคือการเทรดเมื่อหุ้นวิ่งตัดขึ้นเส้นค่าเฉลี่ย 50 weeks หรือแม้แต่ 20 วัน เพื่อที่หลีกเลี่ยงอาการ FOMO หลังหุ้นตัวนั้นเด้งขึ้นอย่างร้อนแรง
และที่สำคัญคือบริษัทที่เป็นหุ้นเติบโต ในกรณีที่เขาเติบโตด้วยพื้นฐานอย่างแข็งแรง ส่วนมากราคาของบริษัทจะไม่มาเทรดที่จุดเดิมได้บ่อยๆ ครับ การที่เราซื้อขายหลังราคาตัดเส้นค่าเฉลี่ยระยะยาวเพื่อรันเทรนด์อาจช่วยให้เราได้เปรียบมากขึ้น
และอย่างสุดท้าย การเทรดโดยใช้หน้าเทรด Breakout ในหุ้นเติลโต โดยเหตุผลหลักจะคล้ายๆ กับการเทรดตอนหุ้นตัดขึ้นเส้นค่าเฉลี่ย โดยหากบริษัทเติบโตไปแบบเรื่อยๆ อย่างบริษัท การ Breakout จึงเป็นหน้าเทรดที่สามารถปรับประยุกต์ใช้ได้ ไม่ว่าจะเป็นการเทรดแบบScalper ภายในวันอาศัยความผันผวนตอนช่วงประกาศผลประกอบการ หรือแม้แต่การซื้อเป็นไม้สุดท้ายหลังจากที่เรา MM ไม้ก่อนหน้านี้มาแล้ว
-------------------------------
3. สิ่งที่ได้จากหุ้นตัวนี้
บริษัทที่มีการเติบโตของกำไรอย่างสม่ำเสมอ และทำได้ดีกว่าที่ตลาดคาดมักเป็นหุ้นที่ไปได้ไกล(จากสมการ Price = PE * EPS) ไม่ว่าจะจากการปรับค่า PE ของตลาดหรือ EPS ที่เติบโตได้ด้วยตัวเอง
การเทรดโดยให้ราคาตัดเส้นค่าเฉลี่ยระยะยาว เป็นจุดที่ปลอดภัยจากการไม่โดนสะบัดหรือเขย่าตอนซื้อแนวจุดสูงสุดใหม่
หุ้นเติบโตมักมีการ Pullback 3x% เป็นเรื่องปกติมาก ถ้าจะให้ดี อย่าซื้อตอน ATH เว้นแต่ว่าเราจะลงทุนแบบ Day Trade/Scalper แบบจบในวัน
[แกะหุ้นเด้ง]ดู COSTCO หุ้น 100 เด้ง ผ่าน BizModel และกราฟ pt.2
- ธุรกิจ Costco เป็นห้างขายส่งคล้ายๆ Makro ของเรา แต่มีสินค้าไซส์ยัก และอาหารราคาถูก
- กำไรแบบ Recurring Income ของบริษัทผ่าน Membership Fees เป็น Keyman ในการที่ทำให้บริาัทเติบโตไปพร้อมกับยอดขาย
- การที่ราคาหุ้นขึ้นเกิดจากหลัก Twin Engine คือ PE ขยายตัวจากความคาดหวังดีจากตลาด และ กำไรสุทธิที่เติบโตอย่างมีประสิทธิภาพ
- ราคาหุ้นจะมีค่าเป็นเท่าไรเกิดจากสมการ Price = PE * EPS
(Twin Engine คือหลักการที่ PE ขยายตัว และ EPS เติบโตนั่นเอง)
- ปัจจุบัน Costco มีรายได้จาก Membership ที่ราวๆ 4 billions เทียบเท่ากับหุ้นที่ราคา 9 เหรียญ หากเราถือหุ้นที่ราคา 9 เหรียญจากเมื่อ 30 ปีที่แล้วจนถึงวันนี้ได้ ก็นับว่าคุณได้สินทรัพย์ที่เติบโตไม่ต่ำกว่า 9% มาครองเลย
=================================
ถ้านึกถึงห้างขายส่งบ้านเราต้อง MAKRO แต่ถ้านึกถึงห้างขายส่งระดับโลก COSTCO คือบริษัทที่เป็นเบอร์ 1 ด้านนี้เลยครับ
COSTCO เป็นห้างค้าส่งสัญชาติสหรัฐอเมริกาที่ก่อตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปี 1986 และจดทะเบียนอยู่ในตลาดหุ้นมานานกว่าครึ่งชีวิตของคนหนึ่งคนเลย
และมักถูกพูดถึงบ่อยๆ ในหนังสือการลงทุนหลายเล่ม เพราะนี่คือหนึ่งในหุ้นที่มีธุรกิจใช้ได้ ผลกำไรเติบโต ราคาหุ้นจึงสะท้อนมูลค่าที่ซ่อนอยู่นี้ด้วยราคาที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ
ก่อนอื่น ผมขออธิบายก่อนนะครับ ว่า Costco นอกจากธุรกิจจะเป็นธุรกิจห้างค้าหลีกแล้ว รายได้อีกส่วนที่เป็นตัวช่วย Costco มาหลายต่อหลายครั้งเพื่อให้บริษัทยังอยู่ยั่งยืนได้ นั่นคือรายได้จาก membership fee ครับ
โดยบัตร Member นี้เอง สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลายมากไม่ว่าจะเป็นส่วนลดสินค้าภายในห้าง ส่วนรถปั๊ม ประกัน ตั๋วเครื่องบิน เสื้อถ้า รถยนต์ อาหารและยา และอื่นๆๆ อีกมากที่อาจกล่าวไม่ถึง
ตรงส่วนนี้เราอาจพิจารณาได้ว่าบัตรเมมเบอร์ของ Costco นั้นมี Networking Effect ที่แข็งแกร่งมาก ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะสเกลการถ้าปลีกของเครือ Costco อยู่แล้ว ที่เป็นผู้จัดจำหน่ายสินค้าระดับประเทศ (ที่มีขนาดใหญ่ลำดับต้นๆ ของโลก) จนสามารถเจรจาของส่วนลดเพื่อมาจุนเจือชาว Member ได้
โดยสัดส่วน Membership Fee นี้เปรียบได้กับกระแสเงินสดที่ทาง Costco ได้มาไม่ต่างจาก Subscription รายปีเลยครับ โดยแต่ละปี Costco เองมีรายได้จากตรงนี้เติบโตกว่า 9% CAGR ต่อเนื่องกันกว่า 30 ปี
=====================================================
เทียบตั้งแต่ปี 1993
CostCo มี Membership Revenue อยู่ที่ 309 ล้านเหรียญ
และปี 2022 ล่าสุดมีรายได้ส่วนนี้กว่า 4,224 ล้านเหรียญทีเดียว]
โดยปัจจุบัน ณ ราคา 502 เหรียญนี้ Cosco มี Market Cap ที่ 222 Billion
หากท่านใดมีหุ้น Costco ที่ Market Cap 4 billions หรือที่ราคา 9 เหรียญ ท่านอาจได้กระแสเงินสดฟรีๆ จากมูลค่า รายได้ส่วนของ Membership เปล่าๆ (เป็นอีกหนึ่งมุมมองของการถือยาวครับ)
=====================================================
สิ่งที่ช่วยผลักดันให้ราคาของ Costco ไปได้ไกล ส่วนหนึ่งมาจากรายได้จากร้านค้าปลีกที่เติบโตตลอดเวลาตาม GDP ของประเทศนั้นๆ
และ Business Model ของ Costco เองก็เป็นธุรกิจกิน Spread Margin แคบๆ จากการซื้อมาขายไป และเพิ่มลูกลเ่นให้กับสินค้าตัวเองผ่านการออกแบบ "ผลิตภัณฑ์ไซส์ยักษ์" ที่นอกจากประหยัดแล้วยังน่าตื่นตาตื่นใจด้วย
ยังไม่นับว่า Costco เองมีเชนร้านอาหารราคาย่อมเยาว์ถึงขนาดที่ชักจูงให้คนมาทานอาหารในราคาไม่กี่เหรียญ และไม่ขึ้นราคามากว่าทศวรรษอีกด้วย
ทั้งนี้แล้วการที่สร้างประสบการณ์ที่ดีต่อผู้บริโภคลูกค้านั้นทำให้มีผู้สมัครสมาชิกกับ Costco เพิ่มขึ้นตลอดทุกๆ ที โดยอัตราส่วนของรายได้จาก Membership Fees ต่อด้วย Operating Income นั้นสูงกว่า 50% ทีเดียวครับ กล่าวคือลำพังแค่รายได้จากค่าสมาชิกก็ทำให้ประเมินกำไรคร่าวๆ ของ Costco ได้แล้ว....และนี่แหละที่ทำให้นายตลาดชอบใจอย่างมาก
โดยคุณสมบัติจากการประเมินกำไรขาดทุนได้ง่ายแล้ว การที่บริษัทมีการบริหารงานจนทำให้นะดับ Net Margin ดีได้ยิ่งขึ้นๆ พร้อมด้วยการบริหารโดยมี ROIC ในระดับ 1x% ยิ่งขึ้นไป จะทำให้นายตลาด "มอบตัวคูณ" ให้บริษัทนี้มีคุณค่ามากยิ่งขึ้น
โดยราคาหุ้นเองถูกผลักดันด้วย 2 ปัจจัย นั่นคือ Price = PE * EPS
หากบริษัทบริหารจัดการได้ดี ธุรกิจดำเนินไดีดี ตัว EPS จะเพิ่มขึ้นและเพิ่มขึ้น
ส่วนตัว PE หากบริษัทนั้นมีโมเดลที่แข็งแกร่ง มี Moat ที่สมบูรณ์ รายได้เติบโต (กอปรกับการมีค่า Bond Yield ที่ต่ำ) บริษัทนั้นก็จะเทรดที่ค่า PE ที่สูงยิ่งขึ้น
หลักการนี้คือหลักการ Twin Engine ที่ทำให้หุ้นนั้นสามารถกลายเป็นหุ้นเด้งได้นั่นเองครับ
ซึ่ง CostCo เองนับว่าเริ่มต้นที่ตัวเองก่อน โดยได้ลมส่งจากรายได้ที่โตขึ้นจากการขยายสาขาและ GDP ที่โต กับโมเดลธุรกิจที่ดึงดูดลูกค้าโดยเฉพาะ Membership ทำให้ Costco มีกำไรเติบโตตลอด
จากนั้นนายตลาดก็เริ่มเห็นแววในบริษัทนี้ เลยให้ PE หรือแม้กระทั่ง P/S ที่สูงมากยิ่งขึ้น ทำให้ตัวนี้เข้าหุ้นเด้งตามตำรา Twin Engine ในที่สุด
====================================================
หลักการหาจังหวะซื้อขาย หากใช้ Fundamental อาจใช้เส้น Asset Line ในการจับจังหวะเข้าซื้ได้ครับ แต่ต้องมั่นใจว่าหุ้นตัวนี้ตลาดชอบแน่ๆ พื้นฐานบริษัทไม่เปลี่ยน รายได้และกำไรมีโอกาสโตได้ อย่างน้อยก็เชิงอนุกรม
ต่อมาคือการซื้อโดยใช้ PE Forward ผ่านเส้น Value Line อันเป็นแนวรับแนวต้านทางพื้นฐาน หากราคามาลงสู่แนวรับนี้ และประกอบกับกราฟทำทรง VCP Cup with Handle พร้อมทั้งมี Risk to Reward ที่ท่ารับไหวก็อาจพิจารณาซื้อได้
ไม่สายเกินไป หากซื้อหุ้นนี้ที่ Market Cap 1xx,xxx Milliion เพราะว่าเขาอาจไปได้ไกลกว่านั้นได้
(พร้อมดูโมเมนตัมจากยอดขายและผลการดำเนินงาน รวมถึงดูกระแสจากผู้บริโภคด้วย ว่าบริษัทยังคงส่งมอบคุณค่าแก่ผู้ถือหุ้นดั่งเดิมไหม)
====================================================
สามารถอ่านไอเดียการลงทุนอื่นๆ ได้นะครับจากหน้า Profile ของผม
[CaseStudy หาหุ้นลงทุน] การเลือกหุ้นปันผลที่มีคุณภาพเหนือกาลเวลาสวัสดีครับ สำหรับหลักการในวันนี้ผมอยากมานำเสนอการหาหุ้นที่เรียกได้ว่าเป็นหุ้นที่อาจเป็นปันผลให้เราประดับพอร์ตในการกระจายความเสี่ยง และหาโอกาสท่ามกลางตลาดลงกันนะครับ
และปฏิเสธไม่ได้นะครับว่าตอนนี้เป็นช่วงที่ตลาดขาลงและเป็นช่วงที่ลงทนเพื่อ Runtrend ก็นับว่าลำบากพอสมควร
ผมเลยใช้เวลานี้ไปกับการศึกษาขุดหาบริษัทดีๆ ที่ตอนนี้อาจมีตำหนิบ้าง แต่อาจกลับมาได้อาจจะดีกว่าก็ได้ครับ เป็นการใช้เวลาให้เหมาะสมอีกด้วย
โดยผมจะมีการอ้างอิงหนังสือที่ผมได้ตกตะกอนได้หลักๆ คือ 2 เล่มนี้ครับ นั่นคือเล่ม One Up on Wall Street กับ Warren Buffett Ways
โดยหลักการที่ผมอยากถ่ายทอดจะเป็นเรื่องของ
1) การหาบริษัทจากสิ่งรอบตัว การดูสิ่งแวดล้อมว่าเทรนด์อะไรที่มีอนาคต ซึ่งได้มาจากเล่ม One Up on Wall Street ของคุณปีเตอร์ ลินซ์ ครับ
2) การคัดเลือกบริษัทที่มีศักยภาพแบบเล่ม Warren Buffett Ways รวมถึงหยิบหลักการเรื่องของปราการและคูคลองมาใช้ในการเลือก
โดยหลักการนี้ผมจะมาพูดในวีดีโอนี้กันครับ และขอมาแนะนำหุ้นหมวดหนึ่งที่มี Moat ที่อยากจะนำเสนอไม่มีในไทยได้รู้จักด้วยครับ เผื่อเป็นโอกาสใหม่ๆ ในการลงทุนในต่างประเทศครับผม
ท้ายสุดนี้มี Key Takeaway ที่ผมตกตะกอนได้เกี่ยวกับบริษัทที่ตลาดมองว่ามีคุณภาพ ซึ่งมีหลักๆ ประมาณ 7 ข้อ ดังนี้ครับ
1)เป็นบริษัทมี Profit Margin สูง
2)บริษัทมี Free Cash Flow ตลอด
3)นอกจากมี Free Cash Flow สูงแล้ว มีการลง Capex ในระดับไม่มากนัก (อาจจะไม่เกิน 35% ของกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน)
4)บริษัทมีอัตราผลตอบแทนต่อเงินลงทุนมีอัตราที่สูง
5)พึงระลึกไว้ ว่าหุ้นปันผลดีๆ คือบริษัทที่มี Recurring Income อย่างสม่ำเสมอ
5.5) และจำดีมากหาก Income ส่วนนี้เพิ่มสูงขึ้นเหนือกว่าอัตราการเพิ่มของ GDP กับ Inflation
6)จากข้อที่ 5 Recurring Income ล้วนมาจากการมี Recurring Revenue ที่มีศักยภาพ กล่าวคือสินค้าหรือการบริการของบริษัทต้องเป็นที่ต้องการตลอด และอาจมีเพิ่มขึ้นบ้าง
7)จากข้อที่ 6 Recurring Revenue จะดีมากที่สุดหากว่าไม่มีคู่แข่งหรือสินค้าสับเปลี่ยนมาตัดกำลัง คงดีไม่น้อยหากเราซื้อหุ้นที่ดูผูกขาด แต่ก็สามารถวางตัวให้ไม่มีข้อครหาได้ ตรงนี้ขึ้นอยู่กับฝ่ายบริหารแล้วครับ ว่าวางตัวและดำเนินนโยบายสร้างภาพลักษณ์อย่างไร
สำหรับสิ่งที่ผมตกตะกอนและอยากฝากฝังทุกคนไว้ก็มีเพียงเท่านี้ หวังว่าวีดีโอและเนื้อหานี้จะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อย หากทุกคนชอบผมก็ดีใจและฝากร้ investing ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจทุกคนด้วยนะครับ ที่นี่เราจะรวมหนังสือที่เกี่ยวข้องกับจักรวาลนักลงทุนไว้ในที่เดียว เพื่อเสริมศักยภาพสังคมการลงทนต่อๆ ไปครับ
โชคดีรักษาสุขภาพ Stay Healthy Stay Wealthy ครับผม
[Hybrid Study:John Neff] แก่นการลงทุนหุ้นวงจร เพือถือรันหลายเด้งสวัสดีครับพี่ๆ เพื่อนๆ ทุกท่าน วันนี้ผมจะมาขอ Tribute หลักการลงทุนของคุณ John Neff ซึ่งสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการลงทุนในสายผสมนี้กันนะครับ
และเนื่องในโอกาสที่วันที่ 19 กันยานี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของคุณ John Neff และคุณ John Neff เองก็เพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อไม่กี่ปีนี้เอง นับว่า 1 ในตำนานแห่งโลกการลงทุนของเราได้จากเราแล้วอีกหนึ่งราย แต่ว่าหลักการของคุณ John Neff จะยังคงอยู่ในจิตใจของนักลงทุนสาย Value ทุกท่าน
สำหรับผมแล้ว การระลึกถึงและ"ให้เกียรติ" หลักการของใครก็ตาม คือการใช้หลักการนั้นเป็นพื้นฐานอ้างอิงเพื่อให้หลักการนั้นเป็นที่พูดถึง และขัดเกลาให้ทันต่อโลกมากขึ้น ผมชอบหลักการของคุณ John Neff มาก จึงเป็นเหตุให้เขียนอินดิเคเตอร์ DDM ขึ้นมาด้วย
และสิ่งที่ผมได้ทำในวันนี้ก็คือการทำให้หลักการของคุณ John Neff ยังคงมีชีวิตอยู่ อย่างน้อยก็ปรับประยุกต์ใช้ในรูปแบบกราฟผ่าน Trading View ซึ่งโค้ดอินดิเคเตอร์นี้ผมได้รับแรงบันดาลใจมาจากคุณ John Neff อย่างแท้จริง
หลักการลงทุนนี้ผมใช้กับการอาศัยซื้อหุ้น(โดยเฉพาะหมวดวงจร : Commodities) ในจุดที่ PE ต่ำอย่างสวนตลาด แต่หลักการที่เราจะได้มาที่ PE ต่ำนั้น ย่อมเกิดจากการปรับ ตัว E หรือ EPS จากสมมการ PE = Price / EPS , โดยผมจะ Predict ค่า EPS ผ่านตัวรายได้ในแบบที่ควรจะเป็น
และนำรายได้นั้นมาจับคุณด้วยอัตราส่วน Net Margin ในระดับ Base Case-Best Case ซึ่งค่าตัวเลขของ Net Margin นี้เราจะได้มาจากการทำ Research หุ้นในหมวด Commodities ย้อนหลังนะครับ
และจะตั้งตัวเลขพวกนี้เสมือนเป็นตุ๊กตาเฉยๆ เพื่อให้เราหาค่า EPS ให้ได้
ในการตั้งค่า Net Margin นี้ ผมจะมีการตั้งเป็นหลายค่ามากๆ และค่าที่ต่ำที่สุดก็คือ 1% มาจากสมมติฐานที่ว่าปกติหุ้น Commodities ตอนจะจบรอบราคาเขาจะลงมาแรงมากๆ จากราคาสินค้าอ้างอิงตกต่ำไม่ว่าจะเหล็ก น้ำมัน เคมี แร่ธาตุต่างๆ
เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้แล้วส่วนมากบริษัทจะมีผลขาดทุนจากสต็อกสินค้าก็ดี หรือจากรายได้จากการขายสินค้าลดลง จนแบกรับต้นทุนคงที่ไม่ได้ ทั้งหลายนี้เองจึงทำให้ตัว PE ของบริษัท “ติดลบ” หรือก็คือคำนวณไม่ได้ หรือแม้แต่ PE พุ่งสูงขึ้นเป็นหลัก “ร้อยเท่า” จากการที่ EPS นั้นแกร่งนั่นเอง
การที่ผมตั้ง Net Margin ที่ 1% นี้ก็เพื่อเป็น “บาร์อย่างต่ำๆ” ที่บริษัทสมควรทำได้ เมื่อเราได้ NPM ที่ 1% มาได้แล้ว เราก็จับ 1% มาคูณกับตัวเลขรายได้ครับ(ตรงส่วนนี้บางคนอาจใช้รายได้เมื่อปีที่แล้ว หรือว่ารายได้เฉลี่ย 5 ปีย้อนหลัง แล้วแต่สไตล์แต่ละคนเลยครับ)
เมื่อนำ Revenue * NPM แล้วเราก็จะได้ “กำไรสุทธิ” จากนั้นก็นำมาหารด้วยจำนวนหุ้น ทีนี้เราก็ได้ EPS อันเป็นพระเอกของเราแล้ว
จากนั้นเราก็นำ EPS มาเพื่อที่จับคูณด้วย PE อย่างที่ควรจะเป็น โดยเคสนี้ผมจะให้ที่ PE = 6-8 ตรงส่วนนี้หากใคร Conservative มากๆ อาจใช้ที่ PE 5 ไปเลยก็ได้ โดยมีการตั้งสมมติฐานว่า “ใครกันล่ะ จะไม่อยากได้หุ้น PE 5 เท่า หรือหุ้นที่จ่ายเงินปันผลหลัก 10% ต่อปี ณ ระดับราคาฐานต่ำนี้”
ในตอนนี้เราก็ได้ราคาหุ้นแล้ว ผมก็ให้แสดงค่าเป็นเหมือนเส้นแนวรับแนวต้านที่จะอัพเดตทุกๆ ปีนะครับ จากการที่ข้อมูลการเงินจะมีอัพเดตใหม่ทุกปี ตรงเส้นแนวรับ/แนวต้าน พวกนี้เสมือนกับเป็น “แนวรับเชิงพื้นฐาน” นั่นเองครับ
หุ้นใดก็ตามที่ลงมาเทสที่เส้นนี้ และมีการทำแท่งเทียนกลับตัว หรือมีการพักตัวตรงนี้เราอาจพิจารณาเอาเขามาใส่ลิสเพื่อรอวันให้เกิด Catalyst ให้ราคาขึ้นไปกันนะครับ จากนั้นก็รับเทรนไปเรื่อยๆ
หรือหากท่านใดเป็นสายHardcore อาจนำหุ้นนั้นไปวางหลักทรัพย์ค้ำประดันในการขอบัญชี Margin มาต่อเงินอีกรอบก็แล้วแต่สไตล์ท่านเลยครับ
หวังว่าแนวทางนี้จะมีประโยชน์กับท่านผู้อ่านผู้ฟังทุกคนนะครับ โชคดี รักษาสุขภาพ Stay Healthy Stay Wealthy นะครับผม
[Case Study] วิเคราะห์หุ้นทุกมิติ และสอนใช้ Relative Strength สำหรับวีดีโอนี้ผมจะมานำเสนอการใช้ Relative Strength ประยุกต์กับทรงกราฟ รวมถึงการดูปัจจัยผลักดันบริษัท รวมถึงการหาเหลี่ยมเพื่อการลงทุนนะครับ
โดยเนื้อหาในครั้งนี้ทุกท่านหากได้อ่านคำประกอบนี้ก็เพียงพอได้รับสารที่ผมต้องการสื่อในวีดีโอนี้แล้วครับผม
แต่ก่อนอื่นเรามาคุยภาษาเดียวกันก่อนนะครับ
- บริษัทที่นำเสนอนี้เป็นเพียง 1 ใน Case Study ที่น่าสนใจ
- ผมปรับราคาบริษัทเป็นหน่วย CHF เพื่อป้องกันการชี้นำราคาหุ้น
- วีดีโอนี้มี Ref ที่สำคัญราวๆ 3 แหล่งนะครับ และทาง Trading View ไม่ให้เราโพสลิงค์ไปด้านนอก ขอให้ทุกท่านโปรดวางใจ ว่าทุกอย่างที่ผมได้นำเสนอไปนี้มีเอกสารตัวเลขอ้างอิงครับ
====================================================
จากกราฟนะครับ เราจะเห็นว่าตัว Relative Strength นี้มีการหดตัวเข้าสู่ 0 อย่างเห็นได้ชัด กล่าวคือเมื่อเทียบหุ้นตัวนี้กับตลาดแล้ว หุ้นตัวนี้มีความแข็งแกร่งกว่าตลาดอย่างเห็นได้ชัดเจนครับ และหากมองให้ไกลกว่านั้น เราอาจตั้งคำถามได้ว่า "เป็นไปได้ไหม ที่หุ้นตัวนี้จะเป็นหุ้นที่แข็งกว่าตลาดสัดวันหนึ่ง" ซึ่งหุ้นที่แข็งกว่าตลาดนั้นก็คือหุ้นที่มีค่า RS > 1 นั่นเองครับ
จากปัจจัยจากกราฟที่แสดงให้เห็นว่าเขาทำ Sideway มาเนิ่นนาน และเริ่มมีการเปลี่ยนไป เรามาดูกันที่ปัจจัยขับเคลื่อนภายในบริษัทอันเป็นต้นสายธารของหุ้นตัวนี้กันครับ
สำหรับบริษัทที่เราพูดถึงนี้ก็คือ BAFS บริษัทผู้จำหน่ายเชื้อเพลิงให้แก่เครื่องบินนั่นเอง (และขอชี้แจงเพิ่มเติมจาก Oppday บริษัทนี้เปรียบเสมือนกับ "เด็กปั๊ม" นะครับ เขามีหน้าที่บริการบรรจุเชื้อเพลิง ดังนั้นแล้วราคาน้ำมันไม่มีผลจ่อบริษัทเลยครับ)
สิ่งที่ผมได้นำเสนอนี้มีปัจจัยผลักดันคือจำนวนผู้โดยสารและเที่ยวบินที่เริ่มบินสะพัดมากยิ่งขึ้น โดยหากเราได้ดูงบกำไรขาดทุนสุทธิแล้ว เราจะพบว่าตัวเลขในส่วนของ EBITDA กับค่าเสื่อมเริ่มมีการหักล้าง และเริ่มเท่าทุนแล้ว
และจากการที่ผมได้ไปฟัง Oppday ย้อนหลังก็ได้ทราบว่าปริมาณนักท่องเที่ยวตอนนี้เองก็ Breakeven ต่อการทำกำไรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ทั้งหลายทั้งมวลนี้ นำมาสู่ทรงกราฟครับที่จากแต่ดั้งเดิมบริษัทได้มีการทำ Sideway มากว่า 2 ขวบปี อาจมีแนวโน้มที่บริษัทจะเปลี่ยนแนวโน้มไปก็ได้ ไม่ขึ้นก็ลง
โดยจุดตัดของเทรนนี้จะอยู่ที่ราวๆ เดือนมกราคา จากการตีเส้นเทรนด์ไลน์ขากด และเทรนด์ไลด์ขาขึ้น หลังจากที่พูดถึงเรื่องปัจจัยด้านเวลาที่อัดตัวพร้อมผลักดันหุ้นแล้ว เรามาดูในมิติของมูลค่ากันบ้างดีกว่าครับ
จากเครื่องมือ 2 ตัวนั่นคือ DDM และ Double Dividend Discount Model ได้แสดงให้เราเห็นว่า แต่ก่อนเดิม "ตลาด" เคยให้มูลค่าบริษัทนี้ "มากกว่ามูลค่าสินทรัพย์ของบริษัท" ต่อเนื่องหลายปี
และในปัจจุบัน บริษัทเองกลับมีการเทรดในระดับที่ต่ำกว่าเส้นแนวต้านที่แสดงนี้เสียอีก ดังนั้นหากเราตั้งสมมติฐานว่าราคาหุ้นจะ Mean Reversion ก็เป็นไปได้
ทั้งนี้แล้วจากข้อมูลที่เรามี อาจช่วยให้พี่ๆ เพื่อนๆ ใช้ในการวางแผนการเทรดได้นะครับ ผมว่าการที่เราวิเคราะห์ได้หลากหลายมิตินี้จะช่วยให้เราลงทุนได้อย่างมั่นใจได้มากขึ้น แต่ก็มีข้อเสียที่ต้องแลกเข้ามาที่สาหัสเช่นกัน นั่นคือ "เราไม่อาจรู้เลย ว่าเรื่องอะไรที่เรารู้นั้นเป็น NOISE" หรือ "สิ่งก่อกวนในการลงทุน" ได้ กล่าวคือหากเรารู้สิ่งใดมากแล้ว สิ่งนั้นอาจบดบังทรรศนวิสัยในระยะยาวของเราก็เป็นได้
แต่กระนั้นแล้ว เราทุกคนในหมวดของเทรดเดอร์ก็ยังโชคดีครับที่เรายังสามารถยอมแพ้ได้ หากแผนที่เราวางไว้ไม่เป็นไปตามที่วาง ผ่านการยอมรับตัวเองและ Cutloss ทิ้งไป
ทั้งหลายนี้ผมวาดหวังว่าจะเป็นทางเลือกการลงทุนแก้ทุกท่านได้ไม่มากก็น้อยนะครับ
ฝากหนังสือและ investing-in-th ไว้ด้วยนะครับผม เราจะรวบรวมหนังสือที่อยู่ในจักรวาลการลงทุนไว้ให้ทุกท่านในที่เดียวเป็นร้านหนังสือเพื่อการลงทุน เพื่อการ Empowerment สังคมการลงทุนอย่างแท้จริง
ขอให้ทุกท่านโชคดี สุขภาพแข็งแรงปลอดภัยครับผม
[Trading View Trick] วิธีแสกนหุ้นในเพลย์ลิสต์ทำยังไงดี? หลักการสามารถทำตามได้เพียงไม่เกิน 3 ขั้นตอนเลยครับ นั่นคือ
1.
หลังจากเพิ่มหุ้นไว้ในเพลย์ลิสแล้ว จากนั้นกด Shrift ค้าง + ใช้เมาส์คลิ๊กที่หุ้นตัวแรกสุด จากนั้นก็ปล่อยปุ่ม Shrift แล้วสกอลเมาส์ไปที่หุ้นตัวล่างสุด แล้วกดปุ่ม Shrift พร้อมเลือกหุ้นตัวล่างสุดครับ จะเป็นการเลือกหุ้นทั้งแผงในเพลย์ลิสเรา
2)
หลังจากกด Shrift แล้วเลือกหุ้นทุกตัวแล้ว ให้เรากดคลิ๊กขวา แล้วเพิ่มหุ้นทุกตัวเข้าไปในธงที่เราชอบเลยครับ
3)
หลังจากที่เราใส่ Flag ครบหมดแล้ว ให้เรามาที่ Stock Screener แล้วกดเลือกหุ้นที่เราปักธงไว้ เพียงเท่านี้เราก็สามารถคัดกรองหุ้นที่เราต้องการได้แล้วครับ
หวังว่าจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะครับผม หากชอบใจกดถูกใจให้ผมหน่อยนะครับ
บทเรียนแรก TFEX S50 TF60 BasisTFEX S50 TF60 Basis
บทเรียนแรก
ในการคิดจะเล่นกราฟ
สำหรับสวิงเทรดเล่นเก็งกำไร
เริ่มต้นในการดูกราฟ ให้นับจากtimeframe (TF)
ให้หัดนับ กราฟดูตามรอบSto
ดูให้ง่ายๆ
HH = newhigh ยกhigh
HL = newlow ยกLow
LH= lowerhigh highต่ำลงเดิม
LL= lowerlow lowที่ต่ำลง
สนุกนะ นั่งนับดูสิ หัดดู
จินตภาพสำคัญกว่าความคิด
รู้งี้ ทำไปนานแล้ว
INTUCHINTUCH อยู่ในช่วงสะสม เราสามารถปรับต้นทุนได้เรื่อยในกรอบ ตาม Population ของ Normal Distribution
ช่วงปรับต้นทุนที่เหมาะสม ตาม Normal Distribution คือ 50-60 บาท
ถ้าได้ต้นทุน ต่ำกว่า 50 ให้ถือยาว เพื่อรับปันผล
Dividend Yield อยู่ที่ 7%