ReutersReuters

POLL:โพลล์คาดศก.โลกโต 2.9% ปีนี้, 3.0% ปีหน้า

เบงกาลูรู--26 เม.ย.--รอยเตอร์

  • รอยเตอร์ได้สำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์ 500 รายใน 48 ประเทศในวันที่ 27 มี.ค.-25 เม.ย. และได้เปิดเผยผลสำรวจออกมาในวันนี้ โดยผลสำรวจคาดว่า เศรษฐกิจโลกอาจจะเติบโตต่อไปในปีนี้และในปี 2025 ซึ่งสวนทางกับการคาดการณ์ในช่วงก่อนหน้านี้ที่ว่า เศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวลง โดยโพลล์คาดว่า เศรษฐกิจโลกอาจจะเติบโต 2.9% ในปีนี้ ซึ่งสูงกว่าระดับ +2.6% ที่เคยคาดไว้ในโพลล์เดือนม.ค. โดยกว่า 90% ของผู้ที่ตอบโพลล์ทั้งสองครั้งได้ปรับขึ้นตัวเลขคาดการณ์อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลกประจำปี 2024 ในครั้งนี้ นอกจากนี้ โพลล์ครั้งนี้ยังคาดการณ์อีกด้วยว่า เศรษฐกิจโลกอาจจะเติบโต 3.0% ในปี 2025 ทั้งนี้ นักเศรษฐศาสตร์ราว 60% ของโพลล์ หรือนักเศรษฐศาสตร์ 98 จาก 162 รายระบุว่า แนวโน้มที่เศรษฐกิจโลกจะเติบโตอย่างรวดเร็วเกินคาดในปีนี้มีความเป็นไปได้สูงกว่าแนวโน้มที่เศรษฐกิจโลกจะเติบโตอย่างอ่อนแอเกินคาดในปีนี้

  • แนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่แข็งแกร่งขึ้นอาจจะก่อให้เกิดปัญหาต่อธนาคารกลาง เพราะธนาคารกลางอาจจะต้องรอคอยต่อไปเป็นเวลานานยิ่งขึ้นก่อนที่จะสามารถพิจารณาเรื่องการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ทั้งนี้ โพลล์คาดว่า สหรัฐและอินเดียจะเป็นสองประเทศที่ส่งผลบวกมากที่สุดต่ออัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลก โดยนายนาธาน ชีทส์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์โลกของซิตี้กรุ๊ปกล่าวว่า "เรายังคงรู้สึกประหลาดใจอย่างต่อเนื่องต่อการที่เศรษฐกิจโลกสามารถรักษาระดับความแข็งแกร่งไว้ได้" และเขากล่าวเสริมว่า "เราได้ปรับขึ้นตัวเลขคาดการณ์อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลกในช่วงที่ผ่านมาในหลายประเทศ ซึ่งรวมถึงในประเทศเศรษฐกิจสำคัญ อย่างเช่นสหรัฐและจีน และก็ปรับขึ้นตัวเลขคาดการณ์ของยุโรปด้วยเช่นกัน"

  • เศษฐกิจที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งอาจจะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูงต่อไปเป็นเวลานาน โดยโพลล์คาดว่า ธนาคารกลางสำคัญ 16 จาก 21 แห่ง หรือ 76% ของธนาคารกลางสำคัญ จะยังคงต้องรับมือกับอัตราเงินเฟ้อที่อยู่สูงเกินเป้าหมายในช่วงสิ้นปีนี้ โดยปรับขึ้นจาก 10 แห่งในโพลล์เดือนม.ค. อย่างไรก็ดี นักเศรษฐศาสตร์ยังคงคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสำคัญจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในไตรมาสนี้หรือไตรมาสหน้า แต่อาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในระดับที่น้อยกว่าที่เคยคาดไว้ เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อยังคงลดลงได้ยาก ทั้งนี้ โพลล์คาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเริ่มต้นปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 17-18 ก.ย. และจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกครั้งในไตรมาสสี่ ซึ่งจะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 4.75-5.00% ในช่วงสิ้นปีนี้ โดยมีความเสี่ยงที่เฟดอาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยน้อยเกินคาดในปีนี้ ในขณะที่สำนักงานวิเคราะห์เศรษฐกิจ (BEA) ในกระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานในวันพฤหัสบดีว่า ดัชนีราคาค่าใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) พื้นฐาน ซึ่งถือเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่เฟดนิยมใช้ ปรับขึ้น 3.7% ในไตรมาสแรก ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ +3.4% และเร่งตัวขึ้นจาก +2.0% ในไตรมาส 4/2023

  • โพลล์คาดว่า ธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) จะเริ่มต้นปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 6 มิ.ย. และจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 2 ครั้งในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งจะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากลดลงจากระดับ 4.00% ในปัจจุบัน สู่ 3.25% ในช่วงสิ้นปีนี้ ในขณะที่เศรษฐกิจยูโรโซนซึ่งประกอบด้วยประเทศสมาชิก 20 ประเทศอาจจะเติบโตเพียง 0.5% ในปี 2024 โดยความแตกต่างกันระหว่างแนวโน้มเศรษฐกิจยูโรโซนกับสหรัฐนี้มีส่วนช่วยหนุนให้ดัชนีดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินพุ่งขึ้นมาแล้วกว่า 4% จากช่วงต้นปีนี้ ทั้งนี้ นายเจมส์ รอสซิเทอร์ จากบล.ทีดีกล่าวว่า "หลายคนตั้งคำถามว่า อีซีบีจะสามารถเริ่มต้นปรับลดอัตราดอกเบี้ยก่อนหน้าเฟดได้หรือไม่ และผมก็ตอบคำถามนี้ว่า เมื่อเราพิจารณาจากข้อมูลในอดีตแล้ว เราก็พบว่า ถึงแม้อีซีบีจะเริ่มต้นปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนมิ.ย. และเฟดจะเริ่มต้นปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนก.ย. สิ่งนี้ก็จะดูเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของวัฏจักรการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอันเดียวกัน"

  • โพลล์คาดว่า ธนาคารกลางอังกฤษ (บีโออี) จะเริ่มต้นปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 1 ส.ค. โดยจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงรวมกัน 0.75% ในปีนี้ ซึ่งจะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยลดลงจาก 5.25% ในปัจจุบัน สู่ 4.50% ในช่วงสิ้นปีนี้ ส่วนธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) มีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจากระดับ 0.10% ในปัจจุบัน สู่ 0.25% ก่อนสิ้นปีนี้ ทั้งนี้ โพลล์คาดว่า ธนาคารกลางแคนาดาจะเริ่มต้นปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนมิ.ย. และจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงรวมกัน 1.00% ในปีนี้ ซึ่งจะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยแคนาดาลดลงจาก 5.00% ในปัจจุบัน สู่ 4.00% ในช่วงสิ้นปีนี้ ส่วนธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) จะเริ่มต้นปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนส.ค. และจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงรวมกัน 0.50% ในปีนี้ ซึ่งจะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยออสเตรเลียลดลงจาก 4.35% ในปัจจุบัน สู่ 3.85% ในช่วงสิ้นปีนี้ ทางด้านธนาคารกลางนิวซีแลนด์ (RBNZ) จะเริ่มต้นปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนส.ค. และจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงรวมกัน 0.50% ในปีนี้ ซึ่งจะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนิวซีแลนด์ลดลงจาก 5.50% ในปัจจุบัน สู่ 5.00% ในช่วงสิ้นปีนี้--จบ--

Eikon source text

(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)

((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;

เข้าสู่ระบบหรือสร้างบัญชีฟรีถาวรเพื่ออ่านข่าวนี้